ทำอะไรก็ไม่สำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนคนอื่นเขาสักอย่าง เคยไหมที่คุณเคยรู้สึกแบบนี้? หากใช่มาลองเช็คกันดูว่าเรามีลักษณะนิสัยที่ต้องปรับปรุงและพัฒนาตรงไหนบ้าง เผื่อ้ได้เข้าใกล้ความสำเร็จไปอีกก้าว
หากคุณชอบควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปตามที่คิดฝัน และรับไม่ได้เลยกับข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย คุณอาจเข้าข่าย “คนรักความสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)" หรืออีกชื่อหนึ่ง “นักอุดมคตินิยม” ที่แม้ว่าถูกมองเป็นจุดแข็ง แต่บางครั้งก็กลายเป็นอุปสรรคในการทำสิ่งต่าง ๆ ได้เหมือนกัน
เป็นที่รู้กันดีว่าเหล่านักอุดมคตินิยม มีความทะเยอทะยานสูงในการจัดการสิ่งต่าง ๆ ให้ออกมาสมบูรณ์แบบตรงตามมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ ครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องงาน แต่ในบางครั้งพวกเขาก็ตั้งมาตฐานสูงมากจนลึมนึกถึงความเป็นไปได้ และเมื่อทำไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ก็มักตอบสนองด้วยอารมณ์รุนแรง ตำหนิตัวเอง รู้สึกอับอาย และอาจฝังลึกกลายเป็นแผลใจที่ทำให้กลัวความล้มเหลว ซึ่งเป็นตัวการขัดขวางความพยายามของเราเอง
ไม่เพียงเท่านี้ จากคำกล่าวของ Perpetua Neo นักจิตวิทยาผู้ทำการศึกษาการทำงานของสมอง ในกลุ่มคนที่มีปัญหาด้านการควบคุมอารมณ์ กล่าวว่า Perfectionist เป็นมนุษย์ผัดวันประกันพรุ่งตัวยง (Procrastination) เพราะความหมกหมุ่นกับความสมบูรณ์แบบ และหลีกเลี่ยงความล้มเหลว พวกเขาจึงมัก 'ไม่ลงมือทำอะไรเลย' และเลือกที่จะผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ๆ จนกว่าตัวเองจะรู้สึกพร้อมที่สุด เพื่อผลลัพธ์ที่ตรงตามอุดมคติของตัวเอง มักวนเวียนปรับแก้รายละเอียดยิบย่อยในงานต่าง ๆ ปรับตรงนั้น แก้ตรงนี้ จนรู้ตัวอีกทีก็ไม่ทันกำหนดส่งเสียแล้ว
⭐คำแนะนำสำหรับนักอุดมคตินิยม
หลายครั้งที่ความสำเร็จมีจุดเริ่มต้นจากการใฝ่ฝัน แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นทันที ก็ต่อเมื่อเราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเป็นคนช่างฝัน มากกว่าคนที่เริ่มลงมือทำ
นักช่างฝันสนุกกับการวางแผนและคิดเป็นภาพใหญ่ ทำให้พวกเขามีความคิดและไอเดียใหม่ ๆ มากมายโลดแล่นอยู่ในหัว จนอาจทำให้รู้สึกท้อก่อนที่จะได้เริ่มลงมือทำให้เกิดขึ้นจริง และหลายครั้งที่ "ความวิตกกังวล" ต่อปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอน ทำให้นักช่างฝันยินดีที่จะฝันต่อไป มากว่าลงมือทำให้เกิดขึ้นจริง
⭐คำแนะนำสำหรับคนช่างฝัน
เพื่อหยุดตัวเองจากความฝันที่ไม่รู้จบ อาจเริ่มจากกำหนดเป้าหมายเล็ก ๆ ง่าย ๆ ที่เรารู้สึกว่า 'ทำได้จริง' ขึ้นในแต่ละวัน และลงมือทำให้ 'สำเร็จ' ตามเป้าทุกวัน อาจเริ่มจากกิจกรรมแสนธรรมดาในชีวิตประจำวัน เช่น วันนี้จะออกกำลังกายให้ได้ 15 นาที, อ่านหนังสือก่อนนอนให้ได้ 10 หน้า, ฝึกสกิลใหม่ ๆ วันละ 1-2 ชั่วโมง ความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่แหละ ที่จะช่วยเสริมความมั่นใจในการตั้งเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นต่อไป
หลายครั้งที่เราเลือกทำอะไรไปตามอารมณ์ความรู้สึก มากกว่าการใช้เหตุผลแม้ว่ารู้อยู่เต็มอกว่าจะส่งผลเสียต่อตัวเองก็ตาม สิ่งนี้เราเรียกว่า "การบ่อนทำลายตัวเอง" หรือ "Self-sabotage" พฤติกรรมหรือรูปแบบการใช้ชีวิตที่นำอันตรายมาสู่ตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการดื่มหนัก ติดสารเสพติด รับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมจนส่งผลเสียต่อสุขภาพ มาทำงานสายเป็นประจำ หรือผัดวันประกันพรุ่งซ้ำ ๆ
ในทางจิตวิทยาอธิบายสาเหตุของพฤติกรรมบ่อนทำลายตัวเองไว้ว่า เกิดจากการนับถือในตนเองต่ำ หรือ Low self-esteem ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นผลกระทบที่เกิดจาก 'แผลใจในวัยเด็ก' หรือ 'ปัญหาด้านความสัมพันธ์' ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองไม่ดีพอ ไม่เก่ง ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ แม้ว่ายังไม่ได้เริ่มทำอะไรสักอย่างเลยก็ตาม ละแม้ว่าทำก็จะเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด วิตกกังวล เพราะเชื่อว่าจะต้องเกิดปัญหาและข้อผิดพลาดตามมาอย่างแน่นอน
⭐คำแนะนำสำหรับนักทำลายตัวเอง
"ไม่เห็นเดดไลน์ ไม่หลั่งน้ำตา" คงเป็นคำที่อธิบายสำหรับนิสัยแบบนักสร้างวิกฤติได้ดีที่สุด พวกเขาเป็นคนที่ชอบทำงานแบบไฟลนก้น หรือที่เราชอบเรียกกันว่า "One night miracle" กล่าวคือ คนที่รีบทำงานก่อนกำหนดส่งเพียงไม่กี่วันหรือเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทั้งที่มีเวลาเหลือเฟือพอที่จะทะยอยทำให้เสร็จทีละนิดนั่นเอง
มีเหตุผลมากมายที่ทำให้คนเราผัดวันประกันพรุ่งไปจนถึงวินาทีสุดท้าย บางคนก็รู้สึก "สนุก" ที่ได้เอาชนะเส้นตายภายในเวลาไม่กี่วัน บ้างก็เกิดจากการประเมินความสามารถของตัวเองสูงไปนิด และที่่ได้รับการพูดถึงมากที่สุด คือ "กฏ The Parkinson Law" ที่อธิบายไว้ว่า เมื่อคนเราได้รับมอบหมายงานมาสักชิ้น "สมองของเราจะขยายเวลาการทำงานออกไปโดยอัตโนมัติ ตราบใดที่เรารู้ว่ามีเวลาเหลืออยู่" นั่นเอง
ว่ากันตามตรงการทำงานแบบ One night miracle มีทั้งข้อดี-ข้อเสีย และผลลัพธ์ของมันก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลมาก ๆ การทำงานใกล้เดดไลน์ อาจทำให้ค้นพบวิธีการเประหยัดเวลามากขึ้น มีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่น ในทางกลับกันการทำงานแบบรีบเร่งให้เสร็จภายในเวลาข้ามวัน อาจส่งผลกับคุณภาพงาน แถมความเครียดเพิ่มขึ้น บั่นทอนความคิดสร้างสรรค์ที่น่าจะทำงานให้ผลงานเราดีได้มากกว่านี้ได้
⭐คำแนะนำสำหรับนักสร้างวิกฤต
I am as busy as a bee! เป็นคำพูดเชิงสำนวนที่หมายถึง "กำลังยุ่งมาก ๆ" หรือ "ยุ่งจนเหมือนผึ้ง" มนุษย์ผึ้งงานที่เรากล่าวถึงในกรณีนี้ จึงหมายถึงคนที่อยู่นิ่งไม่เป็น ต้องพยายามหาอะไรทำเพื่อให้ตัวเองยุ่งตลอดเวลาราวกับผึ้งงานตัวหนึ่ง จนในบางครั้งด้วยปริมาณงานที่เยอะเกินไป ทำให้พวกเขาต้องเจอปัญหาเรื่องการจัดลำดับความสำคัญของงาน ไปจนถึงปัญหาด้านสุขภาพ
คำอธิบายด้านจิตวิทยาของการทำตัวยุ่งตลอดเวลา มีที่มาที่ไปมาจาก 'ความรู้สึกผิด' และ 'ความวิตกกังวล' กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นคนขี้เกียจไม่กระตือรือร้นในสายตาคนรอบข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากวัฒนธรรม 'Busy Culture' ที่คอยหล่อหลอมให้คนเราต้องกระตือรือร้น ขยัน และกระหายการพัฒนาตัวเองตลอดเวลา
แน่นอนว่าการอยากเป็นคนขยันไม่ใช่เรื่องผิด แต่สำคัญอยู่ที่ว่าเราจะจัดการบริหารเวลาอย่างไรให้สมดุล จนไม่กระทบไปถึงชีวิตด้านอื่น ๆ ซึ่งเคยมีงานศึกษายืนยันแล้วว่า วิถีชีวิตที่ยุ่งตลอดเวลาเป็นต้นตอของ 'ความเครียดเรื้อรัง (Chronic stress)' และอาจทำให้ร่างกายเข้าสู่โหมดชัตดาวน์ โยนภาระหน้าที่ต่าง ๆ ทิ้งไปเสียดื้อ ๆ และในกรณีที่รุนแรงคือส่งผลถึงสุขภาพ เช่น ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout Syndrome) โรคซึมเศร้า หรือโรคหัวใจ
⭐คำแนะนำสำหรับมนุษย์ผึ้ง
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่า มีลักษณะนิสัยที่ค่อยขัดขวางเราจากความสำเร็จ ก็ไม่ต้องกังวลใจเพราะไม่มีอะไรที่สายเกินแก้ ขอเพียงแค่เปิดใจเรียนรู้และอดทนแก้ไขไปทีละนิด การเปลี่ยนเป็นคนใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก นอกจากนี้สามารถรับชมสาระดี ๆ เกี่ยวกับการเอาชนะ 'ความขี้เกียจ' ได้ที่รายการ ครูที่ปรึกษา ตอน สูตรสำเร็จแก้โจทย์ ลูกสายชิล <คลิก
ที่มา Business Insider Life Hack