ALTV All Around
ALTV News
บทความอื่นจาก Thai PBS
ALTV All Around
ALTV News
บทความ Thai PBS
5 ลักษณะนิสัยของคนที่ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ! เช็คเลยคุณเป็นแบบไหน
แชร์
ชอบ
5 ลักษณะนิสัยของคนที่ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ! เช็คเลยคุณเป็นแบบไหน
04 ก.ย. 65 • 18.30 น. | 1,275 Views
ขนาดอักษร : กลาง
ALTV CI

ทำอะไรก็ไม่สำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนคนอื่นเขาสักอย่าง เคยไหมที่คุณเคยรู้สึกแบบนี้? หากใช่มาลองเช็คกันดูว่าเรามีลักษณะนิสัยที่ต้องปรับปรุงและพัฒนาตรงไหนบ้าง เผื่อ้ได้เข้าใกล้ความสำเร็จไปอีกก้าว

นักอุดมคตินิยม (The perfectionist)

หากคุณชอบควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปตามที่คิดฝัน และรับไม่ได้เลยกับข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย คุณอาจเข้าข่าย “คนรักความสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)" หรืออีกชื่อหนึ่ง “นักอุดมคตินิยม” ที่แม้ว่าถูกมองเป็นจุดแข็ง แต่บางครั้งก็กลายเป็นอุปสรรคในการทำสิ่งต่าง ๆ ได้เหมือนกัน

 

เป็นที่รู้กันดีว่าเหล่านักอุดมคตินิยม มีความทะเยอทะยานสูงในการจัดการสิ่งต่าง ๆ ให้ออกมาสมบูรณ์แบบตรงตามมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ ครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องงาน แต่ในบางครั้งพวกเขาก็ตั้งมาตฐานสูงมากจนลึมนึกถึงความเป็นไปได้ และเมื่อทำไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ก็มักตอบสนองด้วยอารมณ์รุนแรง ตำหนิตัวเอง รู้สึกอับอาย และอาจฝังลึกกลายเป็นแผลใจที่ทำให้กลัวความล้มเหลว ซึ่งเป็นตัวการขัดขวางความพยายามของเราเอง

 

ไม่เพียงเท่านี้ จากคำกล่าวของ Perpetua Neo นักจิตวิทยาผู้ทำการศึกษาการทำงานของสมอง ในกลุ่มคนที่มีปัญหาด้านการควบคุมอารมณ์ กล่าวว่า Perfectionist เป็นมนุษย์ผัดวันประกันพรุ่งตัวยง (Procrastination) เพราะความหมกหมุ่นกับความสมบูรณ์แบบ และหลีกเลี่ยงความล้มเหลว พวกเขาจึงมัก 'ไม่ลงมือทำอะไรเลย' และเลือกที่จะผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ๆ จนกว่าตัวเองจะรู้สึกพร้อมที่สุด เพื่อผลลัพธ์ที่ตรงตามอุดมคติของตัวเอง มักวนเวียนปรับแก้รายละเอียดยิบย่อยในงานต่าง ๆ ปรับตรงนั้น แก้ตรงนี้ จนรู้ตัวอีกทีก็ไม่ทันกำหนดส่งเสียแล้ว

 

คำแนะนำสำหรับนักอุดมคตินิยม

  • ไม่ปล่อยใจให้ลุ่มหลงในรายละเอียด แทนที่จะวนเวียนกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ควรหันมาโฟกัสที่วัตถุประสงค์ของงาน และกรอบเวลางานเป็นอันดับแรกว่าอะไรต้องทำก่อน-หลัง แล้วค่อยมาไล่เรียงเก็บรายละเอียดทีหลังเมื่องานเสร็จก็ยังไม่สาย
  • คิดแล้วทำทันที อย่างที่กล่าวไปว่านักอุดมคตินิยมเป็นพวกชอบผัดวันประกันพรุ่ง เพราะต้องรอให้ตัวเองรู้สึกพร้อมจริง ๆ ทางแก้ง่าย ๆ คือ คิดแล้วทำทันที แม้ว่าตัวเองจะรู้สึกไม่พร้อมก็ตาม

นักช่างฝัน (The dreamer)

หลายครั้งที่ความสำเร็จมีจุดเริ่มต้นจากการใฝ่ฝัน แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นทันที ก็ต่อเมื่อเราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเป็นคนช่างฝัน มากกว่าคนที่เริ่มลงมือทำ

 

นักช่างฝันสนุกกับการวางแผนและคิดเป็นภาพใหญ่ ทำให้พวกเขามีความคิดและไอเดียใหม่ ๆ มากมายโลดแล่นอยู่ในหัว จนอาจทำให้รู้สึกท้อก่อนที่จะได้เริ่มลงมือทำให้เกิดขึ้นจริง และหลายครั้งที่ "ความวิตกกังวล" ต่อปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอน ทำให้นักช่างฝันยินดีที่จะฝันต่อไป มากว่าลงมือทำให้เกิดขึ้นจริง

 

คำแนะนำสำหรับคนช่างฝัน

เพื่อหยุดตัวเองจากความฝันที่ไม่รู้จบ อาจเริ่มจากกำหนดเป้าหมายเล็ก ๆ ง่าย ๆ ที่เรารู้สึกว่า 'ทำได้จริง' ขึ้นในแต่ละวัน และลงมือทำให้ 'สำเร็จ' ตามเป้าทุกวัน อาจเริ่มจากกิจกรรมแสนธรรมดาในชีวิตประจำวัน เช่น วันนี้จะออกกำลังกายให้ได้ 15 นาที, อ่านหนังสือก่อนนอนให้ได้ 10 หน้า, ฝึกสกิลใหม่ ๆ วันละ 1-2 ชั่วโมง ความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่แหละ ที่จะช่วยเสริมความมั่นใจในการตั้งเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นต่อไป

 

นักทำลายตัวเอง (The self-sabotager)

หลายครั้งที่เราเลือกทำอะไรไปตามอารมณ์ความรู้สึก มากกว่าการใช้เหตุผลแม้ว่ารู้อยู่เต็มอกว่าจะส่งผลเสียต่อตัวเองก็ตาม สิ่งนี้เราเรียกว่า "การบ่อนทำลายตัวเอง" หรือ "Self-sabotage" พฤติกรรมหรือรูปแบบการใช้ชีวิตที่นำอันตรายมาสู่ตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการดื่มหนัก ติดสารเสพติด รับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมจนส่งผลเสียต่อสุขภาพ มาทำงานสายเป็นประจำ หรือผัดวันประกันพรุ่งซ้ำ ๆ

 

ในทางจิตวิทยาอธิบายสาเหตุของพฤติกรรมบ่อนทำลายตัวเองไว้ว่า เกิดจากการนับถือในตนเองต่ำ หรือ Low self-esteem ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นผลกระทบที่เกิดจาก 'แผลใจในวัยเด็ก' หรือ 'ปัญหาด้านความสัมพันธ์' ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองไม่ดีพอ ไม่เก่ง ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ แม้ว่ายังไม่ได้เริ่มทำอะไรสักอย่างเลยก็ตาม ละแม้ว่าทำก็จะเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด วิตกกังวล เพราะเชื่อว่าจะต้องเกิดปัญหาและข้อผิดพลาดตามมาอย่างแน่นอน

 

คำแนะนำสำหรับนักทำลายตัวเอง

  • วิเคราะห์ต้นตอปัญหา คนเราหลีกเลี่ยงปัญหาไม่ได้ แต่เลือกที่จะเรียนรู้และแก้ไขไม่ให้เกิดซ้ำได้ หมั่นวิเคระห์ปัญหาที่เข้ามาว่า เป็นเพียงความผิดพลาดทั่วไปที่ปล่อยผ่านได้ หรือเกิดจากพฤติกรรมของเราเอง ทั้งนี้ก็เพื่อการแก้ไขที่ตรงจุดมากขึ้น
  • คิดกว้าง มองไกล ไม่จมกับความทุกข์ อาจฟังดูโลกสวยไปหน่อย แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เรื่องบางเรื่องที่ดูเหมือนไม่มีทางออกในทีแรก หลายครั้งที่เมื่อเวลาผ่านไปมันกลับกลายเป็นเพียงเรื่องชวนขำ ที่นำกลับมาเล่าในวงสนทนาได้ เพราะฉะนั้นจะดีกว่าไหม ถ้าเราจะมองปัญหาหรืออุปสรรคให้เป็นเพียงเสี้ยวเวลาหนึ่่งของชีวิตที่เดี๋ยวเดียวก็ผ่านไป แทนที่จะจมไปกับมัน
  • ให้รางวัลตัวเอง เมื่อทำอะไรสักอย่างสำเร็จ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม เป็นการสร้างแรงจูงใจสำหรับการตั้งเป้าหมายอื่น ๆ ต่อไป
  • บอกตัวเองว่าอุปสรรคคือ 'โอกาส' ปรับมุมมองใหม่เสียว่า อุปสรรคคือโอกาสให้เราพัฒนาตัวเอง ไม่ใช่เรื่องโชคร้ายที่เราต้องฝืนทน  
  • ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากเริ่มจัดการความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้

นักสร้างวิกฤติ (The Crisis-Maker)

"ไม่เห็นเดดไลน์ ไม่หลั่งน้ำตา" คงเป็นคำที่อธิบายสำหรับนิสัยแบบนักสร้างวิกฤติได้ดีที่สุด พวกเขาเป็นคนที่ชอบทำงานแบบไฟลนก้น หรือที่เราชอบเรียกกันว่า "One night miracle" กล่าวคือ คนที่รีบทำงานก่อนกำหนดส่งเพียงไม่กี่วันหรือเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทั้งที่มีเวลาเหลือเฟือพอที่จะทะยอยทำให้เสร็จทีละนิดนั่นเอง

 

มีเหตุผลมากมายที่ทำให้คนเราผัดวันประกันพรุ่งไปจนถึงวินาทีสุดท้าย บางคนก็รู้สึก "สนุก" ที่ได้เอาชนะเส้นตายภายในเวลาไม่กี่วัน บ้างก็เกิดจากการประเมินความสามารถของตัวเองสูงไปนิด และที่่ได้รับการพูดถึงมากที่สุด คือ "กฏ The Parkinson Law" ที่อธิบายไว้ว่า เมื่อคนเราได้รับมอบหมายงานมาสักชิ้น "สมองของเราจะขยายเวลาการทำงานออกไปโดยอัตโนมัติ ตราบใดที่เรารู้ว่ามีเวลาเหลืออยู่" นั่นเอง

 

ว่ากันตามตรงการทำงานแบบ One night miracle มีทั้งข้อดี-ข้อเสีย และผลลัพธ์ของมันก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลมาก ๆ การทำงานใกล้เดดไลน์ อาจทำให้ค้นพบวิธีการเประหยัดเวลามากขึ้น มีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่น ในทางกลับกันการทำงานแบบรีบเร่งให้เสร็จภายในเวลาข้ามวัน อาจส่งผลกับคุณภาพงาน แถมความเครียดเพิ่มขึ้น บั่นทอนความคิดสร้างสรรค์ที่น่าจะทำงานให้ผลงานเราดีได้มากกว่านี้ได้

 

คำแนะนำสำหรับนักสร้างวิกฤต

  • ศึกษารายละเอียดงานให้ชัด กำหนดส่งตอนไหน จุดประสงค์ของงานคืออะไร และต้องเผื่อเวลาเท่าไหร่ถึงจะพอ ช่วยให้เราไม่ต้องมานั่งเผางานใกล้เดดไลน์
  • งานใหญ่ แบ่งให้เหลือเป็นงานย่อย งานชิ้นใหญ่ที่มีกรอบเวลานาน ยิ่งอยากทำให้เราผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าเราเริ่มแบ่งงานออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ที่ใช้เวลาไม่นาน จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้เราอยากลุกขึ้นมาทำงานได้มากกว่า
  • ท้าทายขีดจำกัดด้วยเดดไลน์ของตัวเอง สำหรับใครที่ชอบท้าทายเดดไลน์ แทนที่จะท้าทายเดดไลน์จริง ลองกำหนดเดดไลน์ที่สั้นกว่านั้นขึ้นมา แล้วทำเสร็จให้ทัน นอกจากจะได้ท้าขีดจำกัดตัวเอง ยังเหลือเวลาให้กลับไปตรวจาอบข้อผิดพลาดได้อีกด้วย
  • มีวินัย ไม่่ว่าจะวางแผนการทำงานไว้ละเอียดรอบคอบแค่ไหน แต่ถ้าไม่เลิกพฤติกรรมผัดวันประกันพรุ่ง ไม่ทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ก็ไม่อาจเห็นความเปลี่ยนแปลงได้

 

 

มนุษย์ผึ้งงาน (The Busy bee)

I am as busy as a bee! เป็นคำพูดเชิงสำนวนที่หมายถึง "กำลังยุ่งมาก ๆ" หรือ "ยุ่งจนเหมือนผึ้ง" มนุษย์ผึ้งงานที่เรากล่าวถึงในกรณีนี้ จึงหมายถึงคนที่อยู่นิ่งไม่เป็น ต้องพยายามหาอะไรทำเพื่อให้ตัวเองยุ่งตลอดเวลาราวกับผึ้งงานตัวหนึ่ง จนในบางครั้งด้วยปริมาณงานที่เยอะเกินไป ทำให้พวกเขาต้องเจอปัญหาเรื่องการจัดลำดับความสำคัญของงาน ไปจนถึงปัญหาด้านสุขภาพ

 

คำอธิบายด้านจิตวิทยาของการทำตัวยุ่งตลอดเวลา มีที่มาที่ไปมาจาก 'ความรู้สึกผิด' และ 'ความวิตกกังวล' กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นคนขี้เกียจไม่กระตือรือร้นในสายตาคนรอบข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากวัฒนธรรม 'Busy Culture' ที่คอยหล่อหลอมให้คนเราต้องกระตือรือร้น ขยัน และกระหายการพัฒนาตัวเองตลอดเวลา

 

แน่นอนว่าการอยากเป็นคนขยันไม่ใช่เรื่องผิด แต่สำคัญอยู่ที่ว่าเราจะจัดการบริหารเวลาอย่างไรให้สมดุล จนไม่กระทบไปถึงชีวิตด้านอื่น ๆ ซึ่งเคยมีงานศึกษายืนยันแล้วว่า วิถีชีวิตที่ยุ่งตลอดเวลาเป็นต้นตอของ 'ความเครียดเรื้อรัง (Chronic stress)' และอาจทำให้ร่างกายเข้าสู่โหมดชัตดาวน์ โยนภาระหน้าที่ต่าง ๆ ทิ้งไปเสียดื้อ ๆ และในกรณีที่รุนแรงคือส่งผลถึงสุขภาพ เช่น ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout Syndrome) โรคซึมเศร้า หรือโรคหัวใจ

 

คำแนะนำสำหรับมนุษย์ผึ้ง

  • สร้างกรอบเวลาการพักผ่อน เป็นการกำหนดเวลาที่เราจะ 'อนุญาต' ให้ตัวเองพักผ่อน เช่น เมื่อทำงานเสร็จให้แบ่งเวลลาไปงีบหลักพักสายตาสัก 15 นาที แล้วตื่นขึ้นมาเริ่มงานใหม่ การมีกรอบเวลาการพักผ่อนที่ชัดเจน จะช่วยลดความรู้สึกวิตกกังวลว่าจะปล่อยให้ตัวเองว่างจนเกินไป
  • ตัดทิ้งสิ่งที่ไม่จำเป็น สำหรับมนุษย์ผึ้งทุกสิ่งอาจดูจำเป็นไปเสียหมด ให้ลองโฟกัสแค่ "สิ่งที่จำเป็นต้องทำจริง ๆ" กับ "สิ่งที่ส่งผลดีต่อความสุขโดยรวม (Well-being) ของเรา" ส่วนอะไรไม่ไม่ใช่ภาระนอกหน้าที่ก็ให้ลืม ๆ ไปบ้าง
  • ปล่อยมันไป ความเบื่อ ความกระสับกระส่าย ความวิตกกังวลต่าง ๆ ที่เกิดในช่วงการหยุดพักผ่อน ให้ปล่อยให้มันผ่านไป หรือระบายความอัดอั้นนี้ด้วยการ 'เขียน' ลงในกระดาษ ก็เป็นอีกวิธีทางจิตวิทยาที่ช่วยช่วยระบาย ลดความฟุ้งซ่านในหัวได้ดี

 

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่า มีลักษณะนิสัยที่ค่อยขัดขวางเราจากความสำเร็จ ก็ไม่ต้องกังวลใจเพราะไม่มีอะไรที่สายเกินแก้ ขอเพียงแค่เปิดใจเรียนรู้และอดทนแก้ไขไปทีละนิด การเปลี่ยนเป็นคนใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก นอกจากนี้สามารถรับชมสาระดี ๆ เกี่ยวกับการเอาชนะ 'ความขี้เกียจ' ได้ที่รายการ ครูที่ปรึกษา ตอน สูตรสำเร็จแก้โจทย์ ลูกสายชิล <คลิก

 

 

ที่มา Business Insider Life Hack

แท็กที่เกี่ยวข้อง
#ล้มเหลว, 
#ประสบความสำเร็จ, 
#นิสัย, 
#จิตวิทยา, 
#เคล็ดลับ, 
#การงาน, 
#นักข่างฝัน, 
#นิสัยเสียแก้ได้ 
ALTV CI
LearnMore
LearnMore
ALTV All Around
แท็กที่เกี่ยวข้อง
#ล้มเหลว, 
#ประสบความสำเร็จ, 
#นิสัย, 
#จิตวิทยา, 
#เคล็ดลับ, 
#การงาน, 
#นักข่างฝัน, 
#นิสัยเสียแก้ได้ 
แชร์
ชอบ
ติดตามเรา