‘เปลี่ยนชีวิตทั้งกระดาน’ ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าประโยคนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง และชีวิตบนหน้ากระดานที่เปลี่ยนทั้งหมดก็มาจากแค่สองเรื่อง การกินและการหายใจ
กินดีหายใจดี ชีวิตก็เปลี่ยนได้แบบหน้ามือเป็นหลังมือ โรคร้ายทั้งหลายที่แพทย์แผนปัจจุบันรักษาไม่ได้ แค่ฝึกการกินการหายใจให้ถูกกับโรคของตัวเอง อาการก็ดีขึ้นได้ คนเป็นซึมเศร้าโรควิตกกังวล กินสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง หายใจให้ถูกจังหวะกับความปั่นป่วนความฟุ้งในอารมณ์ ก็สามารถหลุดจากโลกหมองหม่นและลุกขึ้นมาตั้งหลักเริ่มต้นใหม่ได้ไม่ยาก
ฉันรู้จัก Baljeet Kaur Sethi มาเกือบปีแล้ว พวกเราเรียกเธอสั้น ๆ ว่า ‘บิต้า’ และกูรูชาวอินเดียท่านนี้ล่ะที่ทำให้ชีวิตฉันเปลี่ยน กลายเป็นชีวิตที่เบาขึ้นง่ายขึ้น เข้าใจชัดเจนว่าความหมายของการใช้ชีวิตคืออะไร
Turning Point – Self Esteem
บิต้าเกิดในครอบครัวชนชั้นกลางของพื้นที่ในแถบแคชเมียร์ ทางเหนือสุดของประเทศอินเดีย ชีวิตก่อนหน้าที่เธอจะย้ายตามสามีมาอยู่ที่เมืองไทย เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยว่ายาแอนตี้ไบโอติกคืออะไร เพราะหมู่บ้านที่เธอจากมาใช้วิธีรักษาอาการป่วยของผู้คนด้วยการพึ่งพาตัวเอง และพืชสมุนไพรในวิถีของ Homeopathy
พ่อของบิต้าทำงานหนักมากเพื่อให้ลูก ๆ ทั้งเจ็ดได้มีการศึกษาที่ดีในโรงเรียนนานาชาติ พ่อบอกบิต้าและน้อง ๆ ว่า “สิ่งเดียวที่ฉันเลือกจะลงทุนเพราะรู้ว่ามันจะทำให้พวกเธอยืนได้ด้วยตัวเองคือการศึกษา อย่างน้อยถ้าได้คู่ไม่ดี หรือไม่ได้แต่งงาน ก็ยังหาเงินเอาตัวรอดได้ด้วยตัวเอง”
บิต้ามองตัวเองในช่วงวัยเด็กว่า เธอเป็นคนไม่ค่อยฉลาดเมื่อเทียบกับเพื่อน ๆ เธอมักด้อยค่าตัวเอง
“ตอนช่วงเกรดสิบ Self Esteem (ความเคารพตัวเอง) ของฉันต่ำมาก ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย ด้วยวัฒนธรรมของครอบครัวเราพ่อแม่จะไม่ยอมให้ลูกสาวตัดผม มีขนหน้าแข้งขึ้นก็ตัดไม่ได้ คือมันเป็นเรื่องของความเคร่งศาสนา เวลาฉันมองคนอื่น ฉันจะรู้สึกว่าทำไมเพื่อน ๆ ฉันดูมีความสุขกันจัง เขาได้ตัดผมในแบบที่อยากตัด เขาดูดี ฉลาด ออกไปไหนต่อไหนกับเพื่อนผู้ชายได้ แต่ฉันถูกห้ามไม่ให้ไปไหนเลย แค่ออกไปแค่ปิกนิกก็ยังไม่ได้เลย พอฉันเห็นด้านลบของตัวเองมาก ๆ เข้า ฉันก็เลยพยายามที่จะดันตัวเองขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองได้รู้สึกเท่าเทียมกับคนอื่น”
ด้วยความที่บิต้ามีผมที่ยาวมาก ดกดำและสวยงาม เธอมองว่ามันเป็นเรื่องแย่ แต่สำหรับคนอื่นมันกลับตรงกันข้าม พอถึงวิชาพละ จะมีคนคอยเดินมาหาเธออยู่บ่อย ๆ พวกเขายืนมองผมของเธอ ชื่นชมว่าทำไมผมของเธอสวยจัง และนาทีนั้นเองที่บิต้าพบว่าตัวเองก็มีดีในตัวเอง ความสุขความปิติก่อตัวขึ้นในหัวใจของเธอ
“เอาล่ะ ต่อไปนี้ฉันจะเป็นผู้หญิงที่สวย”
บิต้าเริ่มดัดขนตา เธอแอบไปกำจัดขนถาวรโดยไม่บอกพ่อแม่ พอเข้าเรียนในระดับในมหาวิทยาลัย มักมีแต่เสียงชื่นชมว่าเธอเป็นคนสวย พอได้ยินคำชมที่เป็นแง่บวกบ่อย ๆ เข้า เด็กสาวที่เคยมี Self Esteem ต่ำ ก็เปลี่ยนเป็นคนละคน เธอเห็นคุณค่าในตัวเอง เชื่อว่าตัวเองมีดี แต่ในเวลาเดียวกัน ด้วยความที่โตมาในครอบครัวของชาวอินเดียแบบดั้งเดิมที่พอเป็นลูกสาวแล้วจะไม่ค่อยได้รับอนุญาตให้ออกไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ สักเท่าไหร่ กิจกรรมยามว่างของเธอเลยเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวทางศาสนา เข้าวัด สวดภาวนา สักการะบูชาเทพ แม้แต่ก่อนจะกินข้าวก็ต้องท่องบทสวดให้เรียบร้อยก่อนถึงจะกินได้ ตีสี่ของทุกวันต้องตื่นมาสวดมนต์ก่อนที่จะเตรียมตัวไปโรงเรียน สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่บิต้าถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่เด็ก เธอจึงมีความเชื่อและศรัทธาในเรื่องราวขององค์เทพต่าง ๆ ที่มาในรูปแบบขอพลังงาน รวมไปถึงความเชื่อที่ว่าเวลาในการใช้ชีวิตของมนุษย์ล้วนสัมพันธ์กับเวลาของธรรมชาติ
“พอเข้ามหาวิทยาลัยจนกระทั่งจนเรียนจบระดับปริญญาโททางด้านการเงิน ด้วยความที่เราถูกชื่นชมบ่อยครั้ง พลังงานดีพลังงานบวกมันก็เกิด ใบหน้าฉันผ่องใสตลอดเวลา ยิ่งเวลามีเสียงของเพศตรงข้ามมาชมนี่ พลังงานในตัวของผู้หญิงจะพุ่งแรงมาก”
First Sight First Love
ในสมัยอดีตหรือแม้กระทั่งสมัยนี้เองก็ตาม ลูกสาวชาวอินเดียจำนวนมากมักเจอคู่จากการที่พ่อแม่เป็นคนตัดสินใจเลือกให้ โดยลูกสาวชาวอินเดียส่วนใหญ่ยอมรับเรื่องนี้เป็นอย่างดี พวกเธอมองว่าพ่อแม่รู้จักความเป็นตัวตนของลูกที่สุด สิ่งที่พ่อแม่เลือกให้คือสิ่งที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
วันหนึ่งบิต้าได้รับคำสู่ขอจากคุณแซม (Sukhbir Sing Sethi) ชาวไทยเชื้อสายอินเดียซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงเทพ เดิมทีคุณแซมเคยมาดูตัวลูกพี่ลูกน้องของบิต้าที่บ้านของป้า แต่ในวันนัดดูตัวนั้น บิต้าเดินผ่านห้องที่ทุกคนกำลังนั่งคุยกันอยู่พอดี ทันทีเมื่อคุณแซมหันไปเห็นบิต้า เขาตัดสินใจในแวบแรกทันทีว่า เขาจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ ส่วนพ่อแม่ของบิต้าซึ่งรู้จักครอบครัวของคุณแซมมานานแล้วก็ตอบตกลงทันที แต่ขอให้ทั้งคู่ได้มาเจอกันอย่างเป็นทางการอีกสักครั้ง
“เรามีเวลาหนึ่งชั่วโมงในการเจอหน้าและพูดคุยกันเพื่อทำความรู้จัก แป๊ปเดียวเท่านั้นล่ะ แม่ของแซมเดินมาที่ฉัน เธอสวมทองเส้นใหญ่ลงที่คอของฉัน”
หมั้นแล้ว! นี่ละค่ะ วิถีการดูตัวของชาวอินเดีย การมอบสินสอดเพื่อจับจองคู่ให้กับลูกชายสามารถเกิดขึ้นได้ภายในหนึ่งชั่วโมง
“เราศิโรราบให้กับพ่อแม่ด้วยความเชื่อใจไว้ใจ ทุกอย่างที่เขาเลือกให้กับเราคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว”
New Life in Bangkok
ชีวิตบทใหม่ของหญิงสาวชาวอินเดียจากแคชเมียร์ได้เริ่มขึ้นที่กรุงเทพ เธอซึ่งไม่เคยเดินทางไปไหนเลย กำลังจะได้ออกเดินทางไกล ข้ามน้ำข้ามทะเลมาใช้ชีวิตในอีกมหานคร
หกเดือนภายหลังจากการหมั้นหมาย เธอแต่งงานทันที คุณแซม สามีของเธอเป็นผู้ชายที่น่ารักมาก พ่อแม่สามีก็ให้ความรักความเข้าใจกับเธอเสมือนหนึ่งเป็นลูกสาวแท้ ๆ พวกเขาให้การสนับสนุนเธอในทุกเรื่อง กระทั่งจนเมื่อบิต้ามีลูกคนที่สอง น้ำหนักตัวของเธอเพิ่มขึ้นจนไปถึง 80 กิโลกรัม เธอบอกกับตัวเองว่าฉันคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ
“ฉันเรียนจบปริญญาโทด้านการเงินมา แต่ด้วยวัฒนธรรมของครอบครัวอินดียในเวลานั้น ผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาติให้ออกไปทำงานนอกบ้าน มันเป็นช่วงเวลาที่ฉัน Depress มาก เพราะหลังแต่งงานหกเดือนฉันก็มีลูกคนแรก หลังจากนั้นสามปีฉันมีลูกคนที่สอง ตลอดสามปีกว่าในเวลานั้นฉันไม่ได้ทำอย่างอื่นเลยนอกจากดูแลลูกและครอบครัว อารมณ์และฮอร์โมนฉันปั่นป่วนไปหมด ฉันไม่สนใจดูแลตัวเอง ปล่อยโทรม น้ำหนักขึ้นแบบฉุดไม่อยู่ จนวันหนึ่งฉันคิดกับตัวเองว่า เธอเรียนจบมาสูงมากเลยนะ ฉันควรจะได้ทำงานเหมือนคนบ้างสิ แต่ในเมื่อเงื่อนไขของครอบครัวฉันเป็นแบบนี้ ฉันก็ต้องยอมรับ งั้นในเมื่อฉันออกไปทำงานไม่ได้ ฉันจะทำอะไรอย่างอื่นได้บ้างนะ เอาล่ะ ฉันอยากลดน้ำหนัก งั้นฉันไปเรียนโยคะดีกว่า”
Turning Point ของลูกสาวชาวอินเดีย
เวลาคนเรามีความรู้สึกหดหู่ในตัวเอง ไม่ว่าจะมาจากปัจจัยอะไรก็ตามที่สะสมมาเป็นเวลานาน ๆ การจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้นในทันทีก็อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ฉะนั้นแล้ว หากจะเลือกกิจกรรมอะไรสักอย่างเพื่อทางออกสู่แสงสว่าง ง่ายที่สุดก็ต้องเลือกจากสิ่งที่ตัวเองรู้สึกสัมพันธ์ อย่างบิต้า เธอเลือกที่จะเรียนโยคะเพราะเธอโตมาในครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกายด้วยวิถีของธรรมชาติเป็นทุนเดิม ฉะนั้นแม้จะเป็นในช่วงสภาวะที่อารมณ์กำลังแปรปรวน การจะลุกฮึบขึ้นมาเรียนโยคะก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องฝืนอารมณ์ตัวเองจนเกินไป
“ตอนนั้นมี Yoga Master ท่านหนึ่งชื่อโยคีราชกุมารกำลังจะเดินทางมาจากอินเดียเพื่อมาสอนโยคะที่เมืองไทย พอเพื่อนฉันโทรมาเล่าให้ฟังถึงโยคีท่านนี้ ฉันตกปากรับคำทันทีว่าฉันจะเรียน จริง ๆ ต้องบอกว่าในช่วงระหว่างนั้นที่กำลัง Depress ฉันไม่รู้ตัวด้วยนะว่านั้นมันคืออาการของความ Depress ฉันรู้แต่ว่าฉันกินเยอะตลอดเวลา น้ำหนักขึ้น ฉันหาอะไรทำตลอดเวลา ไม่เคยหยุด และวิถีการใช้ชีวิตแบบนั้นทั้งหมดมันก็ค่อย ๆ ดูดกลืนพลังงานในตัวของฉัน ในภายหลังฉันถึงได้มาเข้าใจว่า อ้อ ไอ้น้ำหนักตัวที่ขึ้นมาทั้งหมดนั่น ต้นตอมันไม่ได้มากจากสิ่งที่ตัวเองกินเข้าไปหรอก แต่มันมาจากอารมณ์ของความ Depress ที่ถูกสั่งสมมานานจนทำให้กินไม่หยุด”
บิต้าเริ่มเรียนโยคะอย่างจริงจังโดยมีโยคีราชกุมารเป็นผู้ฝึกฝนให้ โยคีท่านนี้เชี่ยวชาญในหัตถะโยคะแบบดั้งเดิมที่โยคีเมื่อสมัยห้าพันปีก่อนใช้ฝึกกัน (Bikram Yoga) ทุกเช้าเธอตื่นมาแต่เช้ามืด ฝึกปราณายมะและโยคะ จากนั้นจึงเป็นเวลาของการดูแลลูก ดูแลครอบครัว จนวันหนึ่งโยคีท่านนี้ถามบิต้าว่าทำไมบิต้าไม่ลองฝึกเป็นครูดูล่ะ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการฝึกโยคะแบบจริงจังในระดับแอดวานซ์แบบต่อเนื่องยาวนานหลายปี
บิต้าซึ่งมีภาระหน้าที่ในการดูแลบ้านดูแลครอบครัวในฐานะสะใภ้ของบ้าน จัดเวลาให้กับตัวเองเท่าที่จะทำได้ในการหาความรู้เกี่ยวกับโยคะและปราณายมะให้มากที่สุด สำคัญเหนืออื่นใดคือเธอมีวินัยมาก ไม่เคยหยุดฝึกฝน กระทั่งจนเธอได้ใบรับรองรับในการประกอบอาชีพครูโยคะโดยโยคีราชกุมารเป็นผู้มอบให้
บิต้ามีความสุขจากภายในของตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยใด ๆ น้ำหนักตัวของเธอลดลงอย่างเป็นธรรมชาติ เธออารมณ์ดีขึ้น สำคัญที่สุดคือเธอกล้าที่จะอธิบายความรู้สึกของตัวเองต่อผู้อื่น ไม่เก็บซ่อนไว้เหมือนเมื่อก่อน
ชีวิตในแต่ละวันของเธอเริ่มขึ้นตั้งแต่ตีสี่ เธอฝึกสมาธิ ฝึกปราณายมะ ให้เวลากับการเคลียร์พลังงานไม่ดีที่คั่งค้างซึ่งอาจรับเข้ามาจากสิ่งที่ผ่านเข้ามากระทบชีวิตในแต่ละวัน ทั้งที่รู้ตัวบ้างและไม่รู้ตัวบ้าง เธอใช้เวลาทำงานกับตัวเองประมาณสามชั่วโมง พอหลังเจ็ดโมงเช้าเธอถึงจะใช้เวลาเพื่อคนอื่น บิต้าว่า ก่อนที่เราจะช่วยอะไรคนอื่นหรือเยียวยาคนอื่นได้ เราต้องดูแลพลังของเราให้ดีเสียก่อน
“การฝึกลมหายใจคือหัวใจหลักที่ทำให้ฉันผ่อนคลายและเบาขึ้น ยิ่ง Breath of Fire (การหายใจเข้าออกแบบเร็ว เป็นหลักการเพื่อปลดปล่อยความร้อนในร่างกายออกไปจากตัว) คือตัวจัดการความร้อนที่เกิดจากความเครียดและความกดดันในตัวเองที่ดีมาก ๆ เลยนะ มันคือการผลักอารมณ์ที่ถูกเก็บกดไว้ ออกไปให้พ้นจากร่างกาย คือทุกวันนี้คนเราจะมีอารมณ์บางอย่างที่ซ่อนอยู่โดยที่เราเองก็อาจจะไม่รู้ตัวเพราะมันซ่อนอยู่ในชั้นจิตใต้สำนึก พุดง่าย ๆ ว่ามันคือการจัดการความร้อนที่สะสมอยู่ในตัวออกไป เกิดการสร้างเมลาโทนินในร่างกายจนเกิดการทำงานของแฮปปี้ฮอร์โมน ส่วนกปาลภาติ (การสะบัดลมหายใจออกอย่างต่อเนื่อง โฟกัสไปที่การยุบของท้องและตาที่สาม ) คือวิธีการหายใจที่ช่วยจัดการพิษที่สะสมในตัว อธิบายการฝึกปราณายมะง่าย ๆ ว่า มันเป็นศาสตร์ที่ช่วยได้หลายเรื่องเลยล่ะ ทั้งจัดการ Physical Toxin / Mental Toxin / Emotional Toxin เพื่อให้แฮปปี้ฮอร์โมนขยายแผ่ไปทั่วร่างกาย ทำให้นอนหลับง่าย คนเราพอหลับง่ายแล้วความสมดุลย์ของร่างกายก็เกิด ตอนฝึกสมัยแรก ๆ ฉันถามอาจารย์ด้วยคำถามเดียวกับที่ทุกวันนี้ลูกศิษย์ของฉันก็ถามฉัน .. มันจริงเหรอที่แค่ฝึกหายใจ เราก็สามารถจัดการความเครียดและน้ำหนักของตัวเองได้ คำตอบคือใช่และยั่งยืนด้วย”
ถามว่าเวลาฝึกปราณายมะกับโยคะเราควรฝึกอะไรก่อน ก็ต้องดูว่าในช่วงเวลานั้นร่างกายและความคิดของผู้ฝึกเป็นอย่างไร ถ้าเรามีความหดหู่มาก ๆ ก็คงไม่มีใครสามารถนั่งนิ่งเพื่อโฟกัสกับลมหายใจได้ ฉะนั้นจึงต้องเริ่มจากการฝึกอาสนะก่อน แต่ถ้าผู้ฝึกมีความเจ็บป่วยทางร่างกายก็ให้เริ่มจากปราณายมะเพื่อเยียวยาความคิดด้วยลมหายใจเสียก่อน ทั้งหมดไม่มีกฎตายตัว
When Yoga Journey starts
เมื่อ 25 ปีก่อน ในขณะที่บิต้าได้ทำความรู้จักโยคะและปราณายมะมาเกือบสิบปีแล้ว เพื่อนชาวอินเดียของบิต้าคนหนึ่งเปิดศูนย์อายุรเวทที่สุขุมวิท 16 เป็นศูนย์ที่ใหญ่มาก เธอได้รับคำชวนให้ไปสอนโยคะที่นั่น บิต้าไม่เคยหยุดหาความรู้ใส่ตัว เธอเดินทางไปอินเดียบ่อยครั้งเพื่อเพิ่มเติมความรู้ใหม่ ๆ ให้กับตัวเองจากอาศรมในรัฐต่าง ๆ ของอินเดีย รวมไปถึงศึกษาเรื่องของอายุรเวท ศาสตร์โบราณของอินเดียที่ว่าด้วยการสร้างความสมดุลย์ให้กับร่างกายเพื่อมีชีวิตที่ยืนยาว และเข้าร่วมสัมมนาทางวิชาการในหัวข้อ Purpose In life ซึ่งครั้งนั้น บิต้าและสมาชิกทั้งครอบครัวเข้าร่วมฟังพร้อมกัน
“มีประโยคหนึ่งเป็นประโยคสำคัญของการสัมมนาในวันนั้น มันคือจุดเปลี่ยนชีวิตครั้งสำคัญของฉัน เขาบอกว่าคุณคือหนึ่งเดียวในโลกที่พระเจ้าส่งมาด้วยจุดประสงค์บางอย่าง และคุณต้องตามหาคำตอบนั้นด้วยตัวเอง สี่ชั่วโมงของการสัมมนาในวันนั้น ฉันตัดสินใจในทันทีว่า เอาล่ะ ฉันจะเปิดศูนย์โยคะและอายุรเวท ฉันอยากช่วยเหลือเยียวยาผู้คน ในช่วงที่กำลังจะเปิด ฉันก็นึกกลัวอยู่เหมือนกัน ไหนจะค่าใช้จ่าย ไหนจะตลาดโยคะที่ตอนนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักเหมือนทุกวันนี้ ไหนจะเวลาสำหรับลูกสำหรับครอบครัวอีกล่ะ แต่ฉันก็บอกกับตัวเองว่า เอาน่า ไหน ๆ มันก็มีเมล็ดพันธุ์ก่อขึ้นในความคิดฉันแล้ว ที่เหลือฉันแค่ต้องหมั่นรดน้ำเท่านั้นเองเพื่อให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นเติบโตงอกงาม ฉันทำได้ ฉันทำได้สิ มันเป็นช่วงที่ยากนะและก็ตื่นเต้นด้วย สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันผ่านช่วงเวลานั้นมาได้คือคำสอนของพ่อสามีและกูรูของฉันในเรื่องของการอุทิศตัวเองเพื่อคนอื่น หรืออย่างพ่อแม่ฉันเองก็เป็นตัวอย่างที่ดีมากของความกตัญญูรู้คุณคน อุทิศตนเพื่อตอบแทนกูรูของตัวเอง”
Prem Yoga And Prana Center ส่งต่อแรงบันดาลใจด้วยความรักและชีวิตที่สมดุลย์
Prem หมายถึง Love
Prana หมายถึง Life
“Prem และ Prana คือส่วนผสมสำคัญที่เป็นตัวขับเคลื่อนในการให้ความรักและให้ชีวิตที่ดีกับผู้คน”
Prem Yoga And Prana Center คือชื่อโยคะสตูดิโอของบิต้าในรูปแบบของการดูแลแบบองค์รวม ตั้งอยู่ในสวรรค์คอร์ต สุขุมวิท 26 เปิดทำการมาได้สิบกว่าปีแล้ว ในช่วงแรกของการเปิดสอนมีเฉพาะปราณายมะเท่านั้น โดยบิต้าเป็นผู้ฝึกสอนเพียงคนเดียว ส่วนชั้นบนของสวรรค์คอร์ตเป็นบ้านของครอบครัว
“มันสำคัญมากนะที่คนเราต้องมีจุดมุ่งหมายในชีวิต ถ้าชีวิตกำลังว่างเปล่าให้ถามตัวเองก่อนเป็นอย่างแรกว่าจุดมุ่งหมายในชีวิตคืออะไร จักรวาลได้จัดสรรมาแล้วให้เราแต่ละคนมีหน้าที่ ๆ ต่างกัน เราแค่ต้องหามันให้เจอ อย่างตัวฉันเอง โชคชะตาของฉันได้ถูกกำหนดมาแล้ว เริ่มจากโตมาในครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพ นำพาให้ฉันมายืนอยู่ในจุดที่ตัวเองกำลังยืนอยู่ จุดของการอุทิศตนเพื่อผู้อื่นด้วยปราณายมะ โยคะ และความรัก”
หลังจากได้รู้จักบิต้ามาเกือบปีกับชีวิตของฉันที่ถูกเปลี่ยนทั้งกระดาน ฉันพบว่าถ้าทุกคนในโลกนี้หันมาเรียนรู้เรื่องปราณยมะจะไม่มีใครต้องเจ็บป่วยทางความคิดและร่างกายเลย เพราะไม่ว่าจะเกิดขึ้นอะไรในชีวิตก็ตาม เราจะสามารถจัดการสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยรูปแบบของการหายใจ
มันเหลือเชื่อใช่ไหมล่ะ แต่มันเป็นเรื่องจริงนะ
การฝึกในช่วงแรก ๆ ก็ยากอยู่ล่ะ เพราะมันคือเรื่องของวินัยล้วน ๆ แต่ถ้าเราวางแผนตารางชีวิตของตัวเองอย่างมีเป้าหมาย หกเดือนแรกอาจจะยากหน่อย ต้องเข็นตัวเองหน่อย แต่พอพ้นหกเดือนมาได้ วินัยทั้งหมดก็จะกลายเป็นนิสัย
ท้ายที่สุดแล้ว ปัญหาใด ๆ ในโลกนี้ที่วิ่งเข้ามากระทบเรา ไม่ว่าจะความเจ็บป่วย อารมณ์ที่รับการส่งต่อมาจากผู้อื่น สัมพันธภาพ ฯ การแก้ไขที่ดีที่สุดก็คอแก้ที่ตัวเองนี่ล่ะ เริ่มจากสร้างพลังชีวิตที่ดีให้กับตัวเองก่อน
พลังชีวิตที่ดีสร้างได้จากปราณายมะ
Prem Yoga And Prana Center สุขุมวิท 26 / 085 019 6143
เรื่อง // ถ่ายภาพ : พัทริกา ลิปตพัลลภ
ภาพประกอบ : ณภัค ภูมิชีวิน