หากใครติดตามข่าวสาร การเลือกตั้ง 66 หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า ปาร์ตี้ลิสต์ หรือแคนดิเดต อยู่บ่อย ๆ รวมถึงคำศัพเกี่ยวกับการเมืองอื่น ๆ ที่ชวนสงสัย ก่อนที่จะเข้าคูหาเลือก “คนที่ชอบ พรรคที่ใช่” ALTV ขอชวนทุกคนมาเรียนรู้ “คำศัพท์ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง” พร้อมความหมายเพื่อให้เข้าใจอย่างกระจ่าง
เป็นกระบวนที่ประชาชนจะใช้สิทธิของตัวเอง “เลือกผู้แทน” เพื่อทำหน้าที่ปกครองประเทศทั้งระดับชาติและท้องถิ่น
การเลือกตั้งในประเทศไทยนั้นมีหลายระดับ ได้แก่
4 ระบบการเลือกตั้งที่ทั่วโลกนิยมใช้ ได้แก่
หมายถึง กฎหมายขั้นพื้นฐานของประเทศ อยู่สูงกว่ากฎหมายอื่น ๆ ทั้งปวง กฎหมายอื่นใดจะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้ ว่าด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของประเทศ
รัฐธรรมนูญในปัจจุบัน มีทั้งเป็นลักษณะลายลักษณ์อักษร และไม่เป็นลายลักษณ์อักษร โดยลักษณะไม่เป็นลายลักษณ์อักษร จะใช้หลักของขนบธรรมเนียม จารีตประเพณีการปกครอง คำพิพากษาของศาลยุติธรรม และธรรมเนียมปฏิบัติต่าง ๆ ที่ยึดถือต่อกันมา กฎหมายทุกตัวที่เกี่ยวข้องกับการปกครอง ย่อมถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญด้วย
สำหรับ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Constitution Of The Kingdom Of Thailand เกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ปีที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจาก “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” มาเป็น “ระบอบประชาธิปไตย” อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญแล้วทั้งสิ้น 20 ฉบับ โดยฉบับปัจจุบัน คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
หมายถึง “ผู้นำประเทศ” หรือผู้นำคณะรัฐมนตรี ในตำแหน่งหัวหน้าของฝ่ายบริหารในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มาจากการลงมติเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร โดยได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ เพื่อเข้ามาทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
ตามกฏมายแล้ว นายกรัฐมนตรีจะมีวาระครั้งละ 4 ปี รวมกันแล้วต้องเกิน 8 ปี ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ โดยไม่นับรวมระยะเวลาระหว่างรักษาการหลังพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว
✅คุณสมบัติของผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามที่กำหนดไว้ มีดังนี้
1.มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด
2.มีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปีบริบูรณ์
3.จบการศึกษาไม่ต่ำกว่า “ปริญญาตรี” หรือเทียบเท่า
4.ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
5.ไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
6.ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ
❌ นายกรัฐมนตรีต้องไม่มีลักษณะ “ต้องห้าม” ดังต่อไปนี้
“แคนดิเดต” โดยทั่วไปแปลว่า ผู้สมัคร, การเสนอตัว แต่หากนิยามสำหรับการเลือกตั้งในประเทศไทยจะหมายถึง ผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 กำหนดให้แต่ละพรรคการเมืองสามารถเสนอชื่อส.ส.เพื่อเป็น “แคนดิเดตนายก” ได้ไม่เกิน 3 ชื่อ โดยพิจารณาคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ จากนั้น กกต.จะประกาศรายชื่อบุคคลดังกล่าวให้ประชาชนทราบ
การยุบสภานั้นเป็นการทำให้สถานะความเป็นสมาชิกของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สิ้นสุดลงหรือพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ โดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้เสนอให้พระมหากษัตริย์ทรงตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งหลังจากยุบสภาแล้วก็จะนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่
ตามกฎหมาย กกต.ต้องจัดการเลือกตั้งภายในกรอบเวลา 45 - 60 วัน ส่วนคณะรัฐมนตรีก็ต้องพ้นจากตำแหน่งด้วย แต่ต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560 ที่บังคับใช้ล่าสุด มาตรา 108 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ว่า การยุบสภาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ แต่จะทรงใช้พระราชอำนาจนั้นได้ ก็ต่อเมื่อนายกรัฐมนตรีเสนอเท่านั้น
การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะทำเพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน หากจะให้มีการยุบสภาอีกครั้งต้องใช้เหตุผลที่ไม่ซ้ำกับการการยุบสภาครั้งก่อน
เหตุผลของการยุบสภา ไม่ได้มีบัญญัติในกฎหมายใดชัดเจน ส่วนมากมักนำมาแก้ปัญหาทางการเมืองตามสถานการณ์ในขณะนั้น เช่น รัฐบาลลาออก, ความขัดแย้งในรัฐสภา, วิกฤตการณ์ทางการเมือง (รัฐประหาร) เป็นต้น
เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มีหน้าที่หลักเป็นผู้ควบคุม ออกระเบียบ ประกาศและจัดให้มีการเลือกตั้งเพื่อสรรหาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, สมาชิกวุฒิสภา, สมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี รวมทั้งการออกเสียงประชามติ ความคิดเห็นอย่างเที่ยงตรงและยุติธรรม
ปัจจุบันคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีทั้งหมด 7 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา สำหรับวาระของกรรมการการเลือกตั้งแต่ละท่านให้ดำรงตำแหน่งเพียง 7 ปีนับแต่วันที่มีแต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว
ที่มา: สยามรัฐ
ในสภาผู้แทนราษฎร (The House f Representatives) จะประกอบด้วยสมาชิกส.ส.ทั้งหมด 500 คน โดยมาจากการเลือกตั้ง 2 แบบ คือ แบบแบ่งเขต จำนวน 400 คน และแบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง จำนวน 100 คน สำหรับอายุการทำงานของส.ส. มีกำหนดคราวละ 4 ปี นับแต่วันเลือกตั้ง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นตัวแทนของประชาชนที่ได้จากการเลือกตั้ง ทำหน้าที่ออกกฎหมาย ตรวจสอบ และควบคุมการทำงานของรัฐบาล เช่น การให้ความเห็นชอบบุคคลที่จะเข้ารับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี, การตั้งกระทู้ถาม และเปิดประชุมอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี โดยทำงานร่วมกับสมาชิกวุฒิสภา
สำหรับคุณสมบัติผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. มีดังต่อไปนี้
1.มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด
2.มีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง
3.เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง เพียงพรรคการเมืองเดียวติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง หากมีการเลือกตั้งทั่วไปเพราะเหตุยุบสภา ระยะเวลา 90 วันดังกล่าวจะลดลงเหลือ 30 วัน
4.ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ต้องมีลักษณะตรงตามข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้
5. ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งตามข้อ 1-4 ด้วย แต่ลักษณะดังกล่าวในกรณีใดที่กำหนดถึงจังหวัด ให้หมายถึงกลุ่มจังหวัด
คือ ผู้สมัครส.ส.ที่ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงสูงสุด จากการเลือกตั้ง 400 เขต พูดง่าย ๆ ใครที่ได้คะแนนสูงสุดในเขตเลือกตั้ง จะได้เป็น ส.ส.เขตนั้น
แต่ละเขตเลือกตั้งจะมีผู้สมัครส.ส.จากแต่ละพรรคเพียง 1 คน โดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะลงคะแนนให้กับผู้สมัคร ส.ส. หรือเลือกไม่ออกคะแนนเสียงก็ได้
ตัวอย่างการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต
สมมติว่าในกรุงเทพฯ เขตพระนคร มีผู้สมัคร ส.ส.เขต ทั้งหมด 5 คน ได้แก่
ประชาชนก็จะพิจารณา “คนที่ถูกใจ” แล้วกากบาท ❎ เลือกผู้สมัคร ส.ส. หมายเลขนั้น หากนาย B เบอร์ 5 ได้คะแนนมากที่สุด ก็จะได้เป็น ส.ส. เขตพระนคร ตามกฏหมายเลือกตั้งแบบแบ่งเขต
ที่มา: www.thaipbs.or.th/Election66
คือ ส.ส. ที่ได้จากการคำนวนด้วยสูตร “ระบบคู่ขนาน” (Parallel System) เป็นการนำคะแนนเสียงที่ได้ของแต่ละพรรคมาคำนวณด้วยสูตร "หาร 100" เพื่อจัดสรรที่นั่งในสภาของ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน ต่อไป
การจัดทำบัญชีรายชื่อ แต่ละพรรคการเมืองจะจัดทำบัญชีรายชื่อผู้สมัครส.ส. บัญชีละ 100 คน ตามเงื่อนไข ดังนี้
โดยส่งบัญชีรายชื่อดังกล่าวให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง ก่อนปิดการรับสมัครรับเลือกตั้งส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง
หากประชาชนจะเลือก “พรรคที่ชอบ” ก็ให้เลือกจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคนั้นเพียง 1 คน เช่น
ถ้าเราชื่นชอบนาย A. พรรค A ก็ให้กากบาท ❎ ไปที่ช่องหมายเลขผู้สมัครนั้น
คำว่า หาเสียง หมายถึง แสวงหาคะแนนนิยมจากประชาชน หรือสมาชิกของชุมชน เพื่อได้คะแนนโหวตในการเลือกตั้ง (สำนักงานราชบัณฑิตยสภา ปี 2555)
เมื่อมีการเลือกตั้ง นักการเมืองและผู้สนับสนุนจะเริ่มทำแผนรณรงค์ในการหาเสียงเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ซึ่งผู้สมัครหรือพรรคการเมืองสามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง พรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งควรใช้ถ้อยคำที่สุภาพ จัดให้มีการอบรมผู้ช่วยในการหาเสียงเลือกตั้งให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายเลือกตั้งอย่างถูกต้อง และ “หลีกเลี่ยง” การใช้ นักแสดง นักร้อง นักดนตรี พิธีกร ที่มีชื่อเสียงในวงการวิทยุโทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง สื่อสารมวลชน สื่อโฆษณา มาช่วยหาเสียง
ข้อห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง มีดังต่อไปนี้
หมายถึง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือลงคะแนนเสียงโดยชอบด้วยกฎหมาย โดย 1 คนจะเท่ากับ 1 เสียง
ในการเลือกตั้งสมาชิกสมาชิกผู้แทนราษฏร ประชาชนที่ใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งได้ ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
ใครบ้างที่ “ไม่มีสิทธ์เลือกตั้ง”
จะเกิดอะไรขึ้น หากไม่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง?
ถ้าไม่ไปเลือกตั้ง และไม่ได้แจ้งเหตุผลไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง หรือแจ้งเหตุฯ แล้วแต่เหตุนั้นไม่สมควร ผู้นั้นจะเสียสิทธิ 5 ประการ ครั้งละ 2 ปี ดังต่อไปนี้
ขอบคุณแหล่งข้อมูล : สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐, thaipbs.or.th, ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า