รชนิชล ยี่สารพัฒน์ นักธรณีวิทยาชำนาญการ กรมทรัพยากรธรณี กล่าวว่าโคลนถล่มดินสไลด์ เป็นภัยธรรมชาติที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของดินหรือหินลงมาตามที่ลาดเชิงเขา ในขณะที่เกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้ดินชุ่มน้ำ จนน้ำหนักของมวลดินเพิ่มขึ้น และแรงยึดเกาะระหว่างมวลดินลดลง จึงเลื่อนไหลมาลงยังพื้นด้านล่างก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
“ฤดูกาลเกิดโคลนถล่มดินสไลด์ ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีโอกาสเกิดในช่วงเดือนกรกฏาคม-สิงหาคม เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากพายุหมุนเขตร้อน ส่วนภาคใต้มีโอกาสเกิดในช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม เนื่องจากเป็นช่วงฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ”
โดยการเคลื่อนที่ของมวลดินและหินลงมาตามลาดเขาด้วยอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงของโลก โดยขณะเกิดฝนตกหนักจนดินชุ่มน้ำ และสูญเสียกำลังไม่สามารถคงตัวอยู่ได้ ดินจะถล่มลงมาจากไหล่เขาพร้อมๆ กับน้ำที่ไหลหลากผสมกันเป็นน้ำโคลน ที่มีความหนาแน่นมากกว่าปกติและมีพลังทำลายล้างสิ่งกีดขวางสูงกว่าน้ำ ดินถล่มมักเกิดตามมาหลังจากมีน้ำป่าไหลหลาก ในขณะเกิดพายุหรือหลังพายุฝนที่มีฝนตกหนักรุนแรงต่อเนื่อง
การเกิดโคลนถล่มดินสไลด์ แบ่งตามลักษณะการเคลื่อนตัวได้ 3 ชนิดคือ เคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว และเคลื่อนตัวอย่างฉับพลัน หรือเร็วมาก แบ่งตามลักษณะของวัสดุที่ร่วงหล่นลงมาได้ 3 ชนิด คือ ผิวหน้า ดินของภูเขาวัตถุที่ยังไม่แข็งตัว เช่น โคลน ชั้นหินหรือหินหล่นลงมา
สรุปสาเหตุโคลนถล่มดินสไลด์ คือ
รชนิชล เล่าว่า โคลนถล่มดินสไลด์ มี 6 ชนิด คือ แบบยุบตัว (Slump) การยุบตัวแบบมีการม้วนตัวของมวลดิน แบบเลื่อนไหล (Slide) มีการเคลื่อนย้ายมวลดินในลักษณะขนานไปบนผิวราบและความลาดชัน ซึ่งมีความอ่อนตัวแบบไหลคลาน (Creep) ลักษณะเคลื่อนตัวของมวลดินช้ามาก แบบค่อยเป็นค่อยไป แบบล้มตัว (Topple) เป็นการเคลื่อนไหลแบบเอนตัว และล้มลงของก้อนหินตามแนวความลาดเอียง แบบหล่น (Fall) มีลักษณะการเคลื่อนมวลดินอย่างอิสระ และสุดท้ายแบบไหล (Flow) เป็นการเคลื่อนที่ของมวลดินที่ถูกทำให้ไหลไปกับของเหลว
ทั้งนี้ ลักษณะของพื้นที่และหมู่บ้านเสี่ยงโคลนถล่มดินสไลด์ อยู่ติดภูเขาและใกล้ลำห้วย มีร่องรอยดินไหลหรือเลื่อนบนภูเขา อยู่บนเนินหน้าหุบเขาและเคยเกิดดินถล่ม เกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันบ่อยครั้ง มีกองหินเนินทรายปนโคลนและต้นไม้ในลำห้วย ส่วนสัญญาณเตือนก่อนเกิดดินถล่มจะเกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง (มากกว่า 100 มิลลิเมตรต่อวันหรือนานกว่า 6 ชั่วโมง) ระดับน้ำในแม่น้ำและลำห้วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำมีสีขุ่นมากกว่าปกติหรือเปลี่ยนเป็นสีเดียวกับสีดินภูเขา มีกิ่งไม้หรือท่อนไม้ไหลปนมากับกระแสน้ำมีเสียงดังผิดปกติมาจากภูเขาหรือลำห้วย เช่น เสียงหักของต้นไม้ เสียงแตกของหิน เสียงการไหลของโคลน
“แม้เราจะเป็นคนตัวเล็ก ๆ แต่ก็สามารถช่วยโลกนี้ได้ ด้วยการไม่ตัดไม้ทำลายป่าต้นน้ำ ใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าด้วยการนำขยะมารีไซเคิลเพื่อนำกลับมาใช้งานซ้ำ ส่วนวิธีการป้องกันในระยะยาว คือช่วยกันปลูกป่า เพื่อชะลอความแรงของน้ำและลดการเกิดโคลนถล่มดินสไลด์ นอกจากนี้ยังใช้มาตรการการอนุรักษ์ดินและน้ำด้วยวิธีกล เช่นการทำชั้นบันไดดิน หรือทำคันคูรับน้ำ และปลูกพืชคลุมดิน หญ้ารากเลื้อย”
ประชาในพื้นที่เสี่ยง ควรมีวิธีการปฏิบัติตนเมื่อเกิดโคลนถล่มดินสไลด์ได้โดยการอพยพขึ้นที่สูงหรือไปยังสถานที่ปลอดภัย ซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณพื้นที่เสี่ยงดินถล่มอย่างน้อย 2 - 5 เมตร อยู่ห่างจากลำน้ำให้มากที่สุด หลีกเลี่ยงเส้นทางที่เป็นแนวการไหลของดิน หรือมีกระแสน้ำไหลเชี่ยว กรณีการพลัดตกน้ำ ให้หาต้นไม้ใหญ่ยึดเกาะและปีนให้พ้นน้ำ และการปฏิบัติตนหลังเกิดดินถล่ม ห้ามเข้าใกล้และกลับเข้าไปในบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากดินถล่ม จัดทำทางเบี่ยงของดินและน้ำ เพื่อไม่ให้น้ำไหลลงมาสมทบมวลดินที่เสี่ยงต่อการถล่ม
ขณะที่หน่วยงานภาครัฐ ควรเพิ่มมาตรการเตรียมความพร้อมรับมือโคลนถล่มดินสไลด์ ทั้งการสำรวจสภาพความเสี่ยงของพื้นที่และหมั่นสังเกตสัญญาณผิดปกติทางธรรมชาติ จัดเวรยามเฝ้าระวังสถานการณ์ ติดตามข้อมูลพยากรณ์อากาศ เพื่อแจ้งเตือนคนในชุมชนอพยพหนีภัยได้ทันท่วงที ตลอดจนการเข้าร่วมการฝึกซ้อมอพยพหนีภัย พร้อมศึกษาเส้นทางหนีภัยไปยังพื้นที่ปลอดภัย