ทุกวันที่ 13 พฤษภาคมของทุกปี ถือว่าเป็น 'วันค็อกเทลโลก' หรือ 'World Cocktail's day' ในวันนี้ ALTV จึงได้รวมเรื่องราวเบื้องหลัง 7 เมนูค็อกเทลจากทั่วโลกมาฝากกัน จะมีอะไรบ้างนั้นไปดูกันเลย
ย้อนกลับไป 300 ปีก่อน คำว่า 'Cocktail' ไว้ใช้เรียกสุรากลั่นที่ผสมกับส่วนผสมสร้างรสชาติอื่น ๆ เช่น น้ำตาล น้ำผลไม้ ครีม เหล้าขม (ฺBitter) ทั้งนี้ก็เพื่อลดความแรงของแอลกอฮอล์ และสร้างรสชาติแปลกใหม่
ต้นกำเนิดของสุดยอดเครื่องดื่มนี้ยังคงเป็นปริศนา แต่คำว่า 'ค็อกเทล' ปรากฏครั้งแรกบนหน้าหนังสือพิมพ์ของสหรัฐอเมริกา 'The Balance and Columbian Repository' ในวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1806 ทำให้ทุกวันที่ 13 พฤษภาคม ของทุกปี ถือเป็นวัน 'ค็อกเทลโลก' นั่นเอง
ตามคำบอกเล่าของ Matthew Rowley เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์เริ่มต้นจากการใช้ในทางการแพทย์มาตั้งแต่สมัยโรมันโบราณ เช่น การนำไวน์มาผสมกับน้ำส้มสายชู น้ำเปล่า และสมุนไพร เพื่อใช้ดื่มเป็นยาชูกำลังของเหล่าทหาร มีชื่อเรียกว่า Posca
ซึ่งแนวคิดการผสมผสานเครื่องดื่ม ก็ยังคงสืบเนื่องมาจนถึงวงการการดื่มสมัยใหม่ด้วย โดยมีการสันนิษฐานว่า ค็อกเทล พัฒนามาจาก 'พันซ์' เครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมแอลกอฮอล์ ที่แพร่หลายในประเทศอังกฤษ และสหรัฐอเมริกาในช่วงศตวรรษที่ 17 และถือเป็นจุดกำเนิดศาสตร์แห่งการผสมผสานเครื่องดื่ม (Mixology) โดยมีผู้บุกเบิงวงการ คือ 'เจอร์รี โธมัส' บาร์เทนเดอร์ชาวอเมริกัน คนแรก ๆ ที่ตีพิมพ์คู่มือการใช้บาร์ฉบับแรกในปี ค.ศ.1826
ที่มาของคำว่า “Cocktail” นั้นมีหลายทฤษฎี บ้างก็ว่าเพี้ยนมาจาก คำว่า “Coquetier” ในภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า “ถ้วยไข่ต้ม” บ้างก็บอกว่าจริง ๆ แล้วมาจาก Cock-Tail ที่แปลตรงตัวได้ว่า “หางของไก่ตัวผู้” เพราะในสมัยนั้น มีการตกแต่งแก้วค็อกเทลด้วยขนไก่เพื่อความสวยงาม
นอกจากนี้ BBC รายงานไว้ว่า ในสหรัฐอเมริกาช่วงศตวรรษที่ 17 คำว่า "Cocktail" เดิมมีไว้ใช้เรียกม้าที่มีหางสั้น ซึ่งคนสมัยนั้นมองว่าเหมือนไก่ตัวผู้ โดยเฉพาะม้าแข่งและม้าที่ไว้ใช้ในงานลากเกวียนที่จะถูกตัด หรือมัดหางเอาไว้ ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้หางของพวกมันไปเกี่ยวกับรถลากหรือสิ่งของ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นที่มาของชื่อเครื่องดื่มค็อกเทล
Martini (มาร์ตินี) เมนูสุดคลาสสิคที่ไม่พูดถึงไม่ได้นี้ โด่งดังอย่างมาก จาก ภาพยนตร์ เรื่อง James bond 007 ที่จนถึงปัจจุบันประโยคในตำนาน อย่าง "Shaken not stirred" ก็ยังคงเป็นที่จดจำได้ ที่มาของประโยคนี้มาจากการที่บอนด์ ต้องการให้บาร์เทนเดอร์เขย่า (shaken) มาร์ตินี่ในกระบอกเชกเกอร์แทนการคน (Stirr) กับน้ำแข็ง ที่เป็นการชงมาร์ตินีแบบปกตินั่นเอง
มีการสันนิษฐานว่าแต่เดิมมาร์ตินีมาจาก เครื่องดื่มโปรดของคีตกวีชาวเยอรมัน นามว่า "Jean Paul Égide Martini" ซึ่งเขาชอบนำเหล้ายินมาผสมกับไวน์ขาว เมื่อเขาย้ายมายังประเทศฝรั่งเศสก็ได้นำสูตรเหล้าติดตัวมาด้วย
อีกทฤษฎีที่ได้รับการพูดถึงบ่อยครั้งไม่แพ้กัน คือ เจอร์รี โธมัส ผู้บุกเบิกวงการค็อกเทล ได้คิดค้นและตั้งชื่อเครื่องดื่มนี้ตามชื่อเมือง มาร์ติเนซ (Martinez) ในเขตรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่ออวยพรแก่นักล่าสมบัติที่มุ่งหน้าไปยังเมืองมาร์ติเนซ และได้ผ่านมาแวะดื่มที่บาร์ของเขาก่อน
Blue Hawaii (บลูฮาวาย) ค็อกเทลสีฟ้าสดใสนี้ คิดค้นขึ้น โดย Harry K.Yee บาร์เทนเดอร์ที่มีชื่อเสียงในเกาะโฮโนลูลู เมืองหลวงของรัฐฮาวาย มีเอกลักษณ์และเป็นที่จดจำ จากสีฟ้าน้ำทะเล เสิร์ฟในแก้วทรงเฮอร์ริเคน ประดับด้วยสับปะรด ร่มกระดาษ และดอกกล้วยไม้
ยี กล่าวว่า เขาตั้งชื่อค็อกเทลตามชื่อเพลงโปรด Blue Hawaii (1954) ของศิลปินยุค 20 "บิง ครอสบี้" (ฺBing crosby) และการที่เขาเลือกใช้ดอกกล้วยไม้และร่ม ไม่ได้มาจากความโรแมนติกส่วนตัวแต่อย่างใด เพราะทีแรกเขาใช้ก้านอ้อย แต่ลูกค้ามักเคี้ยวและทิ้งเศษซากเอาไว้ในที่เขี่ยบุหรี่ ยี ที่ไม่อยากต้องมาตามทำความสะอาดทุกครั้ง จึงแก้ไขด้วยการเปลี่ยนมาใช้สิ่งที่เคี้ยวไม่ได้ นั่นก็คือ ดอกกล้วยไม้ และร่มขนาดเล็กแทน
Mai-tai (ไหมไทย) ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับประเทศไทยแต่อย่างใด ที่มาของค็อกเทลนี้ไม่มีที่มาแน่ชัดว่าใครเป็นผู้คิดค้น แต่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ในปี ค.ศ. 1944 จากการที่ Trader Vic บาร์เทนเดอร์ในโอ๊กแลนด์ พัฒนาสูตรนี้ขึ้นมาอีกครั้ง โดยชื่อ Mai-tai เพี้ยนมาจากภาษาตาฮิเตียน อ่านว่า Mai-ta'i (ไมทาอิ) ซึ่งมีความหมายว่า "ยอดเยี่ยม"
สำหรับบ้านเราอาจไม่คุ้นเคยกับค็อกเทลสูตรนี้นัก เพราะมันโด่งดังในประเทศอิตาลีมากกว่า 'Bellini' ถูกคิดค้นขึ้นครั้งแรกที่เมืองเวนิส ช่วงศตวรรษที่ 20 โดย Giusppe Cipriani ผู้ก่อตั้ง Harry's Bar บาร์ยอดนิยมในเวนิส เครื่องดื่มนี้มีจุดเด่นคือ สีชมพูสดใส มักถูกเสิร์ฟในงานเฉลิมฉลอง จัดว่าเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมในทุกภูมิภาคของอิตาลี
เหตุผลที่เขาตั้งชื่อค็อกเทลนี้ว่า 'Bellini' เพราะสีชมพูของเครื่องดื่มทำให้เขานึกถึงสีเสื้อคลุมของนักบุญในภาพวาดของโจวันนี เบลลีนี (Giovanni Bellini) ศิลปินชาวอิตาลียุคฟื้นฟูศิลปวิทยา เขาจึงใช้ชื่อของจิตรกรผู้นี้ มาเป็นชื่อเครื่องดื่มของเขานั่นเอง
Magarita (มาการิต้า) ในภาษาสเปน มีความหมายว่า ดอกเดซี่ (Daisy) ที่มาของค็อกเทลสูตรนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียง แต่มีการสันนิษฐานไว้ว่า คิดค้นโดย Danny Negrete บาร์เทนเดอร์ในประเทศเม็กซิโก ซึ่งเขามอบให้เป็นของขวัญวันแต่งงานแก่ 'Margarita' น้องสะใภ้ในอนาคตของเขา ที่ Garci Crispo โรงแรมในรัฐปวยบลา
Gin and Tonic (ยิน แอนด์ โทนิก) ก่อนจะกลายเป็นค็อกเทลที่โด่งดัง ค็อกเทลสูตรนี้เคยถูกใช้ในทางการแพทย์ ในฐานะยารักษาโรคไข้มาลาเลียมาก่อน
ในศตวรรษที่ 17 นายแพทย์ชาวสก็อตแลนด์ George Cleghorn ค้นพบว่า 'ควินิน' สารสกัดจากเปลือกต้นซิงโคนา (Cinchona) ที่พบมากในน้ำโทนิก สามารถใช้รักษาโรคไข้มาลาเรียได้ สิ่งนี้นำไปสู่การดื่มโทนิกเพื่อรักษาโรค โดยเฉพาะในกองทัพอังกฤษที่มีทหารจำนวนมากกำลังป่วยด้วยโรคมาลาเรีย
ด้วยความขมของน้ำโทนิกที่ยากจะทำใจดื่มได้ เหล่าทหารจึงเติมเหล้ายิน น้ำตาล และมะนาวลงไปเพื่อกลบรสขม ทำให้ดื่มง่ายขึ้น ด้วยรสชาติที่ถูกปากจึงมีการพัฒนาเป็นเครื่องเพื่อสุขภาพ และค็อกเทลในภายหลัง
Sex on the beach (เซ็กส์ออนด์เดอะบีช) ค็อกเทลที่หลายคนต้องเคยได้ยินชื่อมาก่อน แม้จะไม่ใช่นักดื่มก็ตาม ที่มาของชื่อชวนให้คิดลึกนี้ คิดค้นโดย Ted Pizio บาร์เทนเดอร์จากรัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1987 เขาตั้งชื่อนี้จากเหตุผลที่ผู้คนมารวมตัวกันที่ฟลอริดา นช่วงฤดูร้อน นั่นก็คือ ชายหาดที่ทอดยาวไม่รู้จบ และการปาร์ตี้สังสรรค์ของหนุ่มสาวที่มีทั้งเหล้าและเซ็กส์
ในปี ค.ศ. 1938 รัฐฟลอริดาโด่งดังในเรื่องเทศกาล 'Spring Break' ซึ่งจะจัดในช่วงสัปดาห์หยุดยาวของมหาวิทยาลัยและโรงเรียนในสหรัฐอเมริกา เหล่านักศึกษาก็จะไปรวมตัวกันที่ชายหาดรัฐฟลอริดา เพื่อปาร์ตี้สังสรรค์ บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้น และผู้คนจะดื่มกินกันตลอดวัน
เมื่อได้เรียนรู้ที่มาของค็อกเทลยอดฮิตไปแล้ว สามารถรับชมสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับศิลปะการผสมผสานเครื่องดื่มเครื่องดื่ม โดยบาร์เทนเดอร์ที่เขาไปเสาะหาวัตถุดิบธรรมชาติจากทั่วประเทศไทยมาเพื่อเล่าเรื่องราวของทรัพยากรธรรมชาติ และชุมชนต่าง ๆ ได้ที่รายการ2 องศา ตอน Intangible Stories ลิ้มรสเรื่องราววัตถุดิบท้องถิ่น < คลิก