“แม่คับ... ผมอยากได้เครื่องบินรบ!”
เด็กน้อยโพล่งออกมาระหว่างที่กำลังจ้องจอโทรทัศน์ด้วยดวงตาเป็นประกาย
เพราะในโลกของเด็กนั้นทุกสิ่งทุกอย่างยังเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นและไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ก็ไม่แปลกถ้าหากเห็นอะไรแล้วคิดไปว่าจะเป็นจริงได้เหมือนอย่างในทีวี แม้แต่โอกาสที่จะได้เป็นเจ้าของอากาศยานสุดเฟี้ยว!
“ค่ะลูก...” ใครเค้าจะเอาเครื่องบินรบมาเป็นของรางวัลกันเล่า คนเป็นผู้ปกครองก็คงนึกอยู่ในใจแบบนั้นพร้อมกับอมยิ้มเอ็นดูไปกับความไร้เดียงสา
พอพูดถึงการ “ฝันใหญ่” แล้ว American dream ก็เป็นตัวอย่างที่ทำให้เราเห็นภาพได้ชัด เป็นการมองความฝันที่ไม่จำกัดมันไว้แค่ในจินตนาการของเด็ก แต่เป็นฝันไกลที่ใครก็ไปถึงได้ ด้วยความเชื่อที่ว่าอเมริกันชนทุกคนควรได้รับโอกาสในการไปถึงความสำเร็จอย่างเท่าเทียมกัน
ยิ่งในช่วงยุคเก้าศูนย์ที่ความเป็นทุนนิยมในอเมริกากำลังเบ่งบานเต็มที่ ยิ่งเป็นแรงอัดฉีดให้ผู้คนออกตามฝันกันใหญ่ ทั้งฝันใหญ่และก็เล่นใหญ่ด้วย
เมื่อปี ค.ศ. 1995 ณ เมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา
ตามประสาเด็กยุคเก้าศูนย์ที่กิจกรรมความบันเทิงหลักอย่างหนึ่งก็คือการดูทีวี วันนั้นทีวีที่บ้านเพื่อนของจอห์นก็ถูกเปิดทิ้งไว้เหมือนทุกครั้ง ผู้ดำเนินรายการชวนให้ไป “พักชมสิ่งที่น่าสนใจสักครู่”
จอห์นก็เหมือนกับคนอื่นในรุ่นเดียวกันที่เติบโตมาท่ามกลางโฆษณาที่แข่งกันทำตัวฉูดฉาดเต็มหน้าจอไปหมด ทำให้มีภูมิต้านทานต่อการขายซะแล้ว นั่นเท่ากับว่าเอเจนซี่และบริษัทประชาสัมพันธ์ทั้งหลายยิ่งต้องพยายามกันมากขึ้นไปอีก เพื่อที่จะไปถึงฝันให้ได้ นั่นก็คือโฆษณาได้รับความสนใจ เพื่อให้ความฝันของลูกค้าที่อยากขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเป็นจริงอีกทอดหนึ่ง
จอห์น เลนเนิร์ด อยู่ในวัยที่ยังมองทางฝันของตัวเองได้ไม่ชัดเจนสักเท่าไหร่ ในบ่ายวันนั้น จู่ ๆ จอห์นก็เห็นแสง!
ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยแสงที่ฉายมาจากจอแก้ว สิ่งที่กำลังออกอากาศไม่ใช่สกู๊ปบิลด์แรงบันดาลใจพลิกชีวิตหรือประวัติความสำเร็จของไอดอลคนไหน แต่เป็นโฆษณาน้ำอัดลม...
ในโทรทัศน์ฉายภาพซีจีเครื่องบินแฮร์เรียร์เจ็ทลงจอดที่ลานหน้าโรงเรียน เผยให้เห็นเด็กหนุ่มที่หันมายิ้มให้กล้อง พร้อมกับตัวหนังสือบรรยายว่า “เครื่องบินต่อสู้แฮร์เรียร์ คะแนนเป๊บซี่ 7,000,000 คะแนน” ก่อนจะจบด้วยสโลแกนตัวเป้ง
“DRINK PEPSI GET STUFF”
“แม่ครับ... ผมอยากได้เครื่องบินรบ”
แล้วคดี John Leonard v. Pepsico. ก็เริ่มต้นขึ้นเพียงเพราะโฆษณาความยาวไม่กี่วินาทีนั่นเอง
หลังจากการต่อสู้กันอย่างยาวนานระหว่างเด็กหนุ่มผู้มุ่งมั่นกับการเก็บแต้มไปแลกเครื่องบินรบกับบริษัทน้ำอัดลมขนาดยักษ์จบไปยี่สิบกว่าปี เคสนี้ก็ถูกนำกลับขึ้นมาฉายบนหน้าจออีกครั้งในสารคดีเรื่อง “Pepsi, Where’s my Jet?”
เราจะได้เห็นเรื่องราวจากทั้งฝั่งผู้บริโภคปุถุชนที่วิ่งชนองค์กรทรงอิทธิพล และฝั่งผู้ผลิต ว่าจากความตั้งใจจะทำโฆษณาเล่นมุกเอาฮา มันเลยเถิดไปถึงทีมทนาย ผู้พิพากษา เช็คมูลค่า 700,000 ดอลลาร์ เพนตากอน และพ่อค้าอาวุธเถื่อนได้ยังไง
เป็นสารดคีที่แต่งสีแต่งกลิ่นไม่แพ้โคล่าอัดลมทำให้เรื่องราวดำเนินไปอย่างออกรสออกชาติแบบแทบไม่มีเว้นจังหวะให้จืดเลย
แล้วเป๊บซี่จะส่งเครื่องบินเจ็ทมาให้จอห์นในที่สุดไหม เราไม่บอกหรอก (จริง ๆ แค่พิมพ์ Pepsi Jet ในช่องค้นหาก็เจอข่าวการปิดคดีนี้แล้วแหละ) แต่เราว่า ถ้าหากดูจนจบแล้วครั้งหน้าบังเอิญได้ยินเด็กน้อยที่ไหนบอก “หนูอยากได้เครื่องบินรบ” คุณจะไม่ตอบรับคำแบบผ่าน ๆ อีกต่อไป
หรือถ้าเผลอเออออไปกับเค้าด้วยแล้ว ก็อย่าลืมใส่ดอกจันแนบไปทุกครั้งด้วยแล้วกันว่า
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ผู้ใหญ่กำหนด
ลองไปชมโฆษณา คลิก>> “Drink Pepsi Get Stuff” กันค่ะ ดูซิว่าคุณจะอยากได้เครื่องบินรบกับเขาบ้างไหม
และชมตัวอย่างสารคดี “Pepsi, Where’s my Jet?” << คลิก