เรื่องน่ารักของ “แมวชื่อดัง” จากประเทศญี่ปุ่น เนื่องในวัน “แมวญี่ปุ่น” 22 กุมภาพันธ์
“เนโกะ” (Neko) แปลว่า “แมว” ในภาษาญี่ปุ่น เป็นสัตว์เลี้ยงประจำบ้านในแดนอาทิตย์อุทัยมานับพันปี มาถึงตอนนี้ “แมว” ได้กลายส่วนสำคัญในสังคมญี่ปุ่น รวมถึงวัฒนธรรม pop culture ที่ปรากฏในโลกการ์ตูน ภาพยนตร์ ข้าวของเครื่องใช้ ไปจนถึงเครื่องรางนำโชค ซึ่งก็ทำให้คนทั่วโลกต่างหลงรักแมวญี่ปุ่นไปตามกัน ด้วยความเป็นทาสแมวนี้เอง วันสำคัญของน้องแมวจึงได้ถือเกิดขึ้นในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็น “วันแมวญี่ปุ่น” ALTV จึงขอชวนทุกคนมาทำความรู้จักความสำคัญของวันนี้ และเรื่องความน่ารักของ 3 “แมวซุปเปอร์สตาร์จากแดนอาทิตย์อุทัย” ที่ใคร ๆ ต่างหลงรัก
“วันแมวญี่ปุ่น” ตรงกับวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันเฉลิมฉลองของน้องแมวอย่างเป็นทางการในญี่ปุ่นหรือที่เรียกว่า “Neko No Hi” กำหนดครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1987 โดยสมาคม Japan Pet Food จากการโหวต เหตุผลที่ชาวญี่ปุ่นกำหนดให้วันนี้เป็น “วันแมวญี่ปุ่น” ก็เพราะว่า ตัวเลขของวันที่ 22/2 พ้องเสียงใกล้เคียงกับเสียงร้องของแมวในภาษาญี่ปุ่นว่า “เนียะ เนียะ เนียะ”
ทุกปีร้านค้าต่าง ๆ ไปจนถึงสถานีรถไฟจะตกแต่งด้วยโปสเตอร์แมว ตุ๊กตาแมว และของระลึกที่เกี่ยวกับแมวเต็มไปหมด นอกจากนี้ทาสแมวทั้งหลายยังทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อแสดงความรักและเอ็นดูน้องแมว เช่น
ที่มา : sanrio.co.jp
เมื่อพูดถึงตัวการ์ตูนสุดแบ๊วที่ทรงพลังที่สุดในโลก นาทีนี้ต้องยกให้ Hello Kitty ตัวการ์ตูนสุดฮิตในยุค 80 เป็นแมวเพศเมียสีขาว หัวโต ๆ ติดโบว์สีแดงแห่งบ้านซานริโอที่มักปรากฏให้เห็นเกือบทุกที ตั้งแต่ภาชนะ เสื้อผ้า สมุด ปากกา ไปจนถึงบนรถไฟฟ้า ซึ่ง Hello Kitty ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “วัฒนธรรมป๊อป” ที่กวาดรายได้ถล่มทลายไปทั่วโลก
การปรากฏตัวครั้งแรกของ Hello Kitty เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1975 บนกระเป๋าใส่เหรียญใบเล็กที่ขายในญี่ปุ่น โดยเป็นภาพที่เธอนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างขวดนมกับโหลปลาทอง หลังจากเปิดตัวไม่นานผลิตภัณฑ์ Hello Kitty ก็ขายดีทันทีและพลอยทำให้ยอดขายสินค้าของซานริโอ เติบโตขึ้นถึง 7 เท่า พร้อมกับกระแสนิยม Hello Kitty ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นจุดกำเนิดของ “วัฒนธรรมคาวาอิ” ศูนย์รวมความน่ารักหวานแหวนเข้าด้วยกัน
ที่มา : twitter- Matt Alt
Hello Kitty มีชื่อจริงว่า “Kitty White” รูปลักษณ์ภายนอกเป็น “แมวญี่ปุ่นหางสั้น” สีขาว เพศเมีย ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ มีโบว์สีแดงและมีริมฝีปากที่มองไม่เห็น ตามประวัติแล้วเธอเกิดวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 ในย่านชานเมืองของกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
คิตตี้อาศัยอยู่กับครอบครัว มีน้องสาวฝาแฝดชื่อ Mimmy ซึ่งมีโบว์สีเหลือง และเลี้ยงแมวชื่อ Charmmy Kitty
ต้นกำเนิดของตัวละคร Hello Kitty มาจากการที่บริษัท ซานริโอ ประเทศญี่ปุ่นเล็งเห็นว่าสินค้าน่ารัก ๆ สามารถดึงดูดผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี จึงเกิดไอเดียที่จะสร้างตัวละครบนสินค้าเพื่อผลิตเป็นของขวัญในโอกาสต่าง ๆ และเนื่องจากในเวลานั้นวัฒนธรรมและสินค้านำเข้าของอังกฤษกำลังมาแรง ตัวการ์ตูน Hello Kitty จึงมีกลิ่นอายของความเป็นอังกฤษตามกระแสนิยมในสมัยนั้น
Yuko Shimizu ผู้ออกแบบ Hello Kitty กล่าวถึงแรงบันดาลใจในการสร้างตัวการ์ตูนตัวนี้ว่ามาจากเรื่อง Through the Looking - Glass ผลงานของ Lewis Carroll (ผู้เขียนอลิซในดินแดนมหัศจรรย์) ซึ่งในฉากต้นเรื่องของหนังสือ อลิซนั้นเล่นกับแมวที่ถูกเรียกว่า “Kitty”
ทำไม Hello Kitty ไม่มีปาก?
ซานริโอ ให้เหตุผลว่าการออกแบบคิตตี้ให้ “ไม่มีปาก” เป็นเพราะไม่ต้องการให้ผู้คนเชื่อมโยงความรู้สึกกับตัวการ์ตูนว่า “สุขหรือเศร้า” โดยหวังว่า Hello Kitty จะเป็นตัวแทนของซานริโอที่เป็นมิตรกับทุกคนบนโลก ไร้ข้อผูกมัดด้านภาษา ซึ่งความจริงแล้ว “คิตตี้มีปาก” แต่ซ่อนอยู่ใต้ขนนั่นเอง
ที่มา : cnn.com
ในช่วงยุค 90 แบรนด์ Hello Kitty มีชื่อเสียงโด่งดังในระดับโลก เวลานั้นคนดังหลายคน เช่น มารายห์ แครีได้นำ Hello Kitty มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่น ปัจจุบันซานริโอและบริษัทพันธมิตรต่างๆ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่มีตราสินค้า Hello Kitty มากมาย เช่น
ที่มา : pixelstalk.net
เชื่อว่าหลายคนคงเป็นแฟนตัวยงของ “แมวหุ่นยนต์สีฟ้า” ตัวละครสุดโด่งดังจากหนังสือการ์ตูน (มังงะ) อย่าง “โดราเอมอน” ด้วยลักษณะที่เป็นแมวอ้วนกลม เฉลียวฉลาด ชอบช่วยเหลือ และเป็นนักแก้ปัญหา บวกกับบรรดา “ของวิเศษ” ที่โดราเอมอนหยิบขึ้นมาใช้ เช่น ประตูวิเศษ, วุ้นแปลภาษา, คอปเตอร์ไม้ไผ่ หรือไฟฉายย่อส่วน ก็ล้วนเป็นเทคโนโลยีสุดล้ำนำอนาคตไปหลายขุม ด้วยเหตุผลนี้ “โดราเอมอน” จึงเป็นต้นแบบของ “แมวเพื่อนซี้” ที่ครองหัวใจผู้คนทุกยุคสมัยทั้งในญี่ปุ่นและทั่วโลก
โดราเอมอน เป็นหุ่นยนต์แมวที่มาจากอนาคต ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 22 เกิดในปี ค.ศ. 2112 ( พ.ศ. 2655) ลักษณะเป็นแมวอ้วนกลมสีฟ้า แต่ไร้ใบหู และมีกระเป๋าหน้าท้องสี่มิติ ถูกส่งให้ย้อนเวลากลับมาช่วยเหลือเด็กประถมจอมขี้เกียจคนหนึ่งชื่อ “โนบิตะ” เพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ทุกครั้งที่โนบิตะมีปัญหาและร้องขอความช่วยเหลือ โดราเอมอนก็มักยื่นมือเข้ามาช่วยแก้สารพัดปัญหาด้วยสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่อยู่เสมอ
ที่มา : India TV News
แรงบันดาลใจในการสร้างตัวละคร “โดราเอมอน” นั้นมาจาก “แมวจรจัด” เมื่อนักเขียนการ์ตูนชื่อ Hiroshi Fujimoto บังเอิญเห็นแมวจรจัดที่มักแอบเข้ามาเล่นในบ้านของเขาเป็นประจำ ซึ่งเขาก็เล่นกับมันในตอนสมองตื้อคิดอะไรไม่ออก เวลาผ่านไปจนมืดค่ำ ไอเดียสร้างการ์ตูนเรื่องใหม่ก็ยังไม่เกิดเขาจึงล้มเลิกไป แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ฮิโรชิก็จินตนการไปว่า “อยากให้โลกนี้มีไทม์แมชชีนเพื่อย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต” ก่อนที่เผลอหลับไปด้วยความอ่อนล้า
ทันใดนั้นเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับความตกใจ จึงวิ่งลงจากบันไดแล้วสะดุดกับตุ๊กตาล้มลุกญี่ปุ่นซึ่งเป็นของเล่นของลูกสาวเข้า ด้วยเหตุนี้เองฮิโรชิจึงปิ้งไอเดียขึ้นมา โดยนำ "ใบหน้าของแมวจรจัด" มาผสมกับ "ความกลมของตุ๊กตาล้มลุกญี่ปุ่น" ออกมาเป็นตัวละครหุ่นยนต์แมวที่มาจากโลกอนาคต แล้วตั้งชื่อว่า “โดราเอมอน” เป็นการผสมคำในภาษาญี่ปุ่น ระหว่างคำว่า “โดราเนโกะ” ที่แปลว่า “แมวเร่ร่อน” กับ “เอมอน” ซึ่งเป็นคำต่อท้ายชื่อผู้ชายในอดีต
ที่มา : japanesian.id
“โดราเอมอน” เริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกในญี่ปุ่น เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 1969 มีทั้งหมด 1,344 ตอน ซึ่งในตอนแรก ๆ โดราเอมอนเป็นแมวหุ่นยนต์สีเหลืองและมีใบหู แต่กลับโดนหนูแทะขณะหลับใหล เมื่อตื่นมาจึงเกิดความเศร้าใจ ร้องไห้จนสีเหลืองถูกชะล้างออกไปกลายเป็นสีฟ้า
สำหรับ “ของวิเศษ” สุดล้ำที่โดราเอมอนใช้ช่วยเหลือโนบิตะ โดยผู้วาดกล่าวว่าโดราเอมอนมีของวิเศษทั้งสิ้น 1,293 ชิ้น แต่จากการวิเคราะห์ในปี 2004 โดยอาจารย์ Yasuyuki Yokoyama นักเขียนผู้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของการ์ตูนเรื่องนี้ กล่าวว่าสิ่งประดิษฐ์วิเศษอาจมีมากถึง 1,963 ชิ้น และยังไม่รวมที่มีในฉบับร่างอีก 1,344 ชิ้น ของวิเศษสำคัญที่ถูกหยิบมาใช้บ่อยที่สุด ได้แก่
ปัจจุบัน โดราเอมอน ยังคงได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากผู้ชมทั่วโลก และมีตอนใหม่ ๆ ให้ได้ชมทุกปี การได้สัมผัสกับตัวละครอย่างโดราเอมอนทำให้เด็ก ๆ เรียนรู้ได้ว่า “ทุกปัญหานั้นมีทางออกเสมอ”
ที่มา : istockphoto.com
“ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เห็น ‘มาเนกิ เนโกะ’ ในร้านค้าหรือร้านอาหารญี่ปุ่นอย่างแน่นอน”
มาเนกิ เนโกะ (Maneki Neko) หรือ “แมวกวัก” ตุ๊กตาแมวนำโชคในท่ายืนกวักอุ้งเท้าข้างหนึ่ง เครื่องรางที่คอยดึงดูดลูกค้าให้เข้าร้านเช่นเดียวกับ “ตุ๊กตานางกวัก” ของไทย โดยชาวญี่ปุ่นนั้นเชื่อว่า มาเนกิ เนโกะ จะนำโชคลาภ ลูกค้า และกำไรให้แก่เจ้าของ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเรามักเห็นตุ๊กตาแมวกวักตั้งอยู่ด้านหน้าและทั่วทุกมุมของร้านค้า แม้กระทั่งการนำสัญลักษณ์แมวกวักมาเป็นโลโก้ของร้านเพื่อสื่อถึงความน่ารักและนำโชคอีกด้วย จึงถือว่า มาเนกิ เนโกะ เป็นวัตถุมงคลที่มีบทบาทสำคัญต่อการทำธุรกิจในประเทศญี่ปุ่น
ที่มาของ มาเนกิ เนโกะ มีหลายตำนาน เรื่องราวที่มักได้ยินบ่อยที่สุดก็เห็นจะเป็นตำนานที่เกิดขึ้นในสมัยเอโดะ ราวค.ศ. 1603 - ค.ศ. 1868 มีหญิงชรายากไร้คนหนึ่งอาศัยอยู่กับแมวตัวหนึ่งในเมือง Imado ด้วยความยากจนข้นแค้นจึงต้องขายแมวสุดที่รักด้วยความจำยอม ในคืนนั้นหญิงชราฝันว่าแมวตัวนั้นมาบอกให้สร้างรูปปั้นของตนแล้วจะโชคดี เธอทำตามที่แมวบอก
ไม่นานนักเธอก็มีเงินเป็นกอบเป็นกำจากการขายรูปปั้นของแมวตัวนั้นจนร่ำรวย ในที่สุดหญิงชราก็สามารถซื้อแมวตัวเดิมกลับมาอยู่ด้วยกันได้อีกครั้ง นับตั้งแต่นั้น “ตุ๊กตาแมวกวัก” จึงเป็นตัวแทนแห่งความโชคดีสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
ที่มา : JNTO
ปัจจุบัน แมวกวักนำโชค ถูกใช้อย่างแพร่หลายในร้านค้าและร้านอาหารเอเชีย ด้วยการผสมผสานของหลักฮวงจุ้ยจึงเกิดเป็นแมวกวักหลากหลายสีสัน ขนาด และต่างความหมาย บางตัวยังถูกออกแบบให้มีแขนที่ขยับได้ด้วยถ่านและพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้สามารถกวักมือเรียกลูกค้าได้เป็นนาน
ความหมายของการกวัก
ท่าทางการกวักของแมวที่ยกอุ้งเท้าข้างใดข้างหนึ่ง สื่อถึงการยินดีต้อนรับด้วยความเป็นมิตร หลายคนสงสัยทำไมบางตัวกวักข้างซ้าย บางตัวกวักข้างขวา แต่ละข้างมีความหมายอย่างไรบ้าง มาดูกัน
ที่มา : JNTO
ตุ๊กตาแมวกวักที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ “ตุ๊กตาแมวกวักสามสี” ซึ่งคล้ายแมวสีผสมเรียกว่า “แมวคาลิโก” (ขาว+ดำ+ส้ม) ที่หายากในญี่ปุ่น จึงถือว่า “โชคดีเป็นพิเศษ” นอกจากนี้ยังมีแมวกวักสีอื่น ๆ ที่จะนำโชคในด้านต่าง ๆ ได้แก่
แม้ มาเนกิ เนโกะ จะไม่ใช่แมวที่สร้างขึ้นจากตัวการ์ตูน แต่ก็ถือว่าเป็นแมวญี่ปุ่นที่โด่งดังไม่แพ้แมวซุป’ตาร์ตัวอื่นเลยนะ จากการปรากฏการ์ตูนแอนิเมชัน หรือแม้แต่วิดีโอเกมทำให้ มะเนกิ เนโกะมีแฟนคลับไปทั่วทุกทวีป รวมถึงผู้ที่สนใจเครื่องรางนำโชค สามารถพบได้ตามร้านขายเครื่องประดับทั่วไป หรือเป็นของประดับตกแต่งในเทศกาลญี่ปุ่นทั่วโลก
ขอบคุณแหล่งข้อมูล : องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวห่งประเทศญี่ปุ่น, bokksu.com, www.bbc.com