คำถามจากผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว แม้แนวโน้มการเกิดแผ่นดินไหว ในประเทศไทยมักเกิดตามแนวรอยเลื่อนที่ส่วนใหญ่อยู่บริเวณภาคเหนือและฝั่งตะวันตก แต่หากเปิดสถิติแผ่นดินไหวย้อนหลังช่วง 10 ครั้ง ที่ผ่านมา พบว่าพื้นที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยที่สุดคือ ภาคเหนือ
ดร.ไพบูลย์ นวลนิล นักแผ่นดินไหววิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวของประเทศไทย ระบุ องค์ความรู้เรื่องแผ่นดินไหวในประเทศไทยเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวใต้ท้องทะเลขนาด 9.1 ริกเตอร์ บนเกาะสมุตรา ประเทศอินโดนีเซียและความรุนแรงทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี 2547 มีผู้คนเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 230,000 คน โศกนาฏกรรมครั้งนี้ ทำให้คนไทยหรือผู้ที่ไม่เคยให้ความสนใจเรื่องแผ่นดินไหวรู้จักแผ่นดินไหวและสึนามิมากขึ้น
“แม้เหตุการณ์แผ่นดินไหวจะสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน แต่องค์ความรู้จากเหตุแผ่นดินไหวแต่ละครั้งจะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ โดยเฉพาะการศึกษาโครงสร้างภายในของโลก การศึกษาคลื่นแผ่นดินไหว เพื่อประเมินแรงสั่นสะเทือนภาคพื้นดิน และประเมินผลกระทบความเสียหาย ฉะนั้นความรู้เหล่านี้ล้วนเป็นความรู้ทางแผ่นดินไหววิทยา ที่เป็นประโยชน์ต่อการออกแบบอาคารต้านแผ่นดินไหว ในการเตรียมความพร้อมรับมือเหตุแผ่นดินไหวครั้งต่อไป”
ดร.ไพบูลย์ ยอมรับว่า การตรวจวัดแผ่นดินไหวในประเทศไทยเกิดขึ้นย้อนหลังไป 50 ปี ซึ่งหากคิดเป็นค่าสถิติการเก็บรวบรวมข้อมูลแผ่นดินไหวถือเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพราะที่สาธารณรัฐประชาชนจีนมีข้อมูลแผ่นดินไหวมานานนับพันปี เช่นเดียวกับประเทศสวีเดน เริ่มจัดตั้งสถานีเครือข่ายตรวจวัดแผ่นดินไหว ตั้งแต่ปี 1904 หรือประมาณ 120 กว่าปี ประเทศเหล่านี้จึงมีการบันทึกข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
โดยข้อเสนอ 6 แนวทางรวบรวมองค์ความรู้ เพื่อศึกษาแนวโน้มการเกิดเหตุแผ่นดินไหวในประเทศไทย คือ
ข้อ 1. ข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาข้อมูลแผ่นดินไหวของประเทศไทย เช่น ความเร็วคลื่นแผ่นดินไหว การลดทอนคลื่นแผ่นดินไหว ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้หาพิกัดตำแหน่งศูนย์กลางแผ่นดินไหวได้อย่างแม่นยำ ตลอดจนนำไปต่อยอดพัฒนามาตรตรวจวัดขนาดแผ่นดินไหวของประเทศไทยได้
ข้อ 2 รอยเลื่อนซ่อนเร้น (hidden fault) คือ รอยเลื่อนที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตาทางพื้นดิน หรือภาพถ่ายดาวเทียม ยกตัวอย่างกรณีเหตุแผ่นดินไหวที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นรอยเลื่อนที่ยังสำรวจไม่พบ แต่กลับเกิดการสั่นสะเทือนขนาด 4.5 ริกเตอร์ คาดว่ายังมีรอยเลื่อนอยู่ข้างล่างที่มองไม่เห็นซึ่งในประเทศไทยมีหลายพื้นที่ ดังนั้นหากมีการเพิ่มจำนวนสถานีตรวจวัดคลื่นแผ่นดินไหว ขนาดเล็ก 2-3 แห่ง คาดว่าจะสามารถระบุแนวของรอยเลื่อนว่าอยู่ในทิศใด ขนาดความยาวเท่าไหร่ นี่คือสิ่งที่ต้องพัฒนาเครือข่ายตรวจวัดแผ่นดินไหวให้เพิ่มขึ้นในประเทศ
ข้อ 3 ข้อมูลออกแบบอาคารต้านแผ่นดินไหว ปัจจุบันไทยยังไม่มีข้อมูลจริง เพื่อใช้ในการออกแบบอาคารต้านแผ่นดินไหว มีเพียงรูปแบบจำลองข้อมูลแผ่นดินไหวจากพื้นที่อื่นซึ่งย่อมมีความคลาดเคลื่อน เพราะสภาพธรณีวิทยาของแต่ละประเทศแตกต่างกัน
“ 3 องค์ประกอบ ที่จะช่วยให้การคาดการณ์เหตุแผ่นดินไหวแม่นยำ คือ เกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ และขนาดเท่าไหร่ แต่จากข้อมูลสำรวจรอยเลื่อนของกรมทรัพยากรธรณี ทั้ง 16 รอยเลื่อนที่มีพลังในประเทศไทย มีการประเมินว่าขนาดสูงสุดของแผ่นดินไหวอาจรุนแรงถึง 7 ริกเตอร์ แต่เรายังไม่สามาถรถระบุช่วงเวลาได้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่น่ากังวล จำเป็นต้องมีเครื่องมือมาตรวจวัดเพื่อเก็บข้อมูลทางสถิติและประเมินว่าขนาดแผ่นดินไหวสูงสุดที่เกิดในแต่ละพื้นที่จะมีค่าเท่าไหร่ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือ”
ข้อมูลเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทย ระหว่างปี 2550-2565 เกิดแผ่นดินไหวขนาดมากกว่า 3 ริกเตอร์ขึ้นไปในประเทศไทยและบริเวณใกล้เคียง เช่นเกาะสุมาตรา ฝั่งอันดามัน ประเทศพม่าและลาว รวม 4,128 ครั้ง ทั้งหมดเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ที่น่ากังวลคืออนาคตแผ่นดินไหวจะเกิดที่ไหนเมื่อไหร่ ขนาดสูงสุดเท่าไหร่ ยังไม่สามารถคาดเดาได้ ดังนั้นหากประเทศไทยมีสถานีตรวจวัดแผ่นดินไหวครอบคลุมทุกพื้นที่ มีข้อมูลที่ชัดเจน นำไปสู่การออกแบบอาคารต้านแผ่นดินไหว ย่อมเป็นประโยชน์ต่ดการลดความสูญเสียที่เกิดจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวในระยะยาวได้
ข้อ 4 หลักการคำนวนขนาดของเหตุแผ่นดินไหวในประเทศยังไม่แม่นยำ เนื่องจากยึดความเร็วคลื่นจากค่าเฉลี่ยข้อมูลทั่วโลก ส่งผลให้การคำนวนตำแหน่งมีความคลาดเคลื่อน แต่หากเรามีข้อมูลความเร็วคลื่นแผ่นดินไหว ที่วัดได้ในพื้นที่ระดับตำบลและอำเภอ จะทำให้การคำนวนพิกัดการเกิดแผ่นดินไหวมีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
“เรายังไม่มีมาตรวัดขนาดแผ่นดินไหวที่เป็นของประเทศ ปัจจุบันที่ใช้คือสูตรคำนวนของสหรัฐอเมริกา ยังขาดแผนที่การตอบสนองต่อคลื่นแผ่นดินไหวระดับตำบล สะท้อนว่าตำบลมีความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหว ฉะนั้นต้องมีการศึกษาเพื่อสร้างแผนที่การตอบสนองต่อคลื่นแผ่นดินไหว เพื่อยกระดับความตระหนักของประชาชนในพื้นที่ว่าต้องรับมือเหตุแผ่นดินไหวอย่างไร รวมถึงเครือข่ายตรวจวัดแผ่นดินไหวที่ยังไม่ครอบคลุม ในพื้นที่เสี่ยงอย่างจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล”
ข้อ 5 ไทยยังไม่สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าการเกิดแผ่นดินไหวได้ กรณีเหตุแผ่นดินไหวที่ตำบลไผ่ล้อมอำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก ช่วงปลายเดือนมิถุนายนปี 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งไม่ตรงกับ 1 ใน 16 รอยเลื่อนของไทย เนื่องจากเป็นรอยเลื่อนซ่อนเร้นที่กรมทรัพยากรณธรณียังสำรวจไม่พบ ในขณะที่ข้อมูลออกแบบอาคารแผ่นดินไหว ของกรมโยธาธิการและผังเมืองกำหนดกฏหมายใช้เป็นมาตรฐานในการออกแบบอาคารสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวเป็นข้อมูลแผ่นดินไหวจากประเทศอื่น เช่นของญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ซึ่งแต่ละพื้นที่มีการลดทอนคลื่นไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากแผ่นดินไหวย่อมแตกต่างกัน
สุดท้าย ข้อ 6 ข้อมูลแผ่นดินไหวกว่า 50% เป็นความคิดเห็นไม่ใช่หลักฐานหรือข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ สาเหตุที่ไทยยังขาดองค์ความรู้เรื่องแผ่นดินไหว คือ
“สรุปจุดอ่อนภาพรวมของประเทศไทย เรื่องการรับมือภัยพิบัติแผ่นดินไหว ยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง เพราะวิชาการด้านนี้เป็นศาสตร์ใหม่ที่ต้องอาศัยการเก็บข้อมูลที่ยาวนาน สนับสนุนนักวิชาการเพื่อศึกษาข้อมูล แผ่นดินไหวที่จริงจัง จัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาที่ไม่สามารถคาดเดาได้ เป็นหน้าที่ภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องใส่ใจดูแลเรื่องการรับมือภัยพิบัติ โดยเฉพาะเรื่องแผ่นดินไหวและสึนามิ เพื่อจะมีข้อมูลมากพอและถูกต้องลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”
หมายเหตุ : เรียบเรียงจาก DxC Talk 24 Experts ไพบูลย์ นวลนิล "แผ่นดินไหวไทย เรายังไม่รู้อะไรบ้าง?"