ที่มา : romeo and juliet โดย 20th Century Fox / เครดิต: Getty Images
ใครจะคิดว่า “อกหัก” อาจส่งผลให้เกิดโรค “Broken Heart Syndrome” ได้ง่าย ๆ ภาวะนี้เป็นความผิดปกติของการทำงานของหัวใจที่ถูกกระตุ้นจาก “ความเครียดทางจิตใจ” (Emotion Stress) ในเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น “กระทันหัน” ในชีวิตเช่น การสูญเสียคนในครอบครัว, สูญเสียคนรัก, การเลิกรา, ถูกเลิกจ้างงาน หรือในบางรายอาจเกิดจากความผิดปกติของร่างกาย (Physical Stress) เช่น การเจ็บป่วย (COVID-19) และการผ่าตัดใหญ่จากอุบัติเหตุรุนแรง ในทางการแพทย์โรคนี้เรียกได้หลายชื่อ คือ Stress-induced Cardiomyopathy, Apical ballooning syndrome หรือ Takotsubo Cardiomyopathy
โรคแปลกประหลาดนี้ถูกค้นพบครั้งแรกโดยคณะแพทย์ชาวญี่ปุ่นเมื่อปี 1990 คือการอ่อนแรงของ “หัวใจห้องล่างซ้าย” (left ventricle) ทำให้การสูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายผิดปกติ จึงเรียกว่า Takotsubo Cardiomyopathy เนื่องจากคำว่า “takotsubo” ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า “กับดักปลาหมึก” ซึ่งมีลักษณะกับ “หัวใจห้องล่างซ้าย” นี่เอง
ที่มา : herheart.org
เชื่อกันว่าสาเหตุเกิดจากฮอร์โมนความเครียดที่ชื่อว่า “แคทีโคลามีน” (Catecholamine) ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการกระตุกของหลอดเลือดแดงในหัวใจ ร่างกายจะแสดงอาการคล้ายกับ “อาการหัวใจวาย” และเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง, ใจสั่น, หายใจถี่, หน้ามืด และภาวะน้ำท่วมปอด โชคดีที่อาการเหล่านี้เกิดขึ้นชั่วคราวและส่วนใหญ่ร่างกายสามารถฟื้นตัวได้เอง
Broken Heart Syndrome พบได้บ่อยใน “ผู้หญิง” มากกว่าผู้ชาย จากงานวิจัยพบว่า 90% ของผู้ป่วยเป็นผู้หญิง และ 80% เป็นผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ที่มีความเครียดทั้งทางอารมณ์และทางร่างกายสูง อายุเฉลี่ย 58 - 77 ปี ส่วนคนที่อายุน้อยกว่า 50 ปีพบได้ไม่บ่อย
จริงอยู่ที่ ภาวะหัวใจสลาย และ ภาวะตรอมใจ เป็นความเครียดทางอารมณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในสถานการณ์เดียวกัน เช่น การสูญเสียคนรัก ได้รับข่าวร้าย อกหัก โศกเศร้า วิตกกังวล หลายคนจึงเข้าใจว่าเป็นโรคเดียวกัน แต่หากพิจารณาตามหลักวิทยาศาสตร์ 2 โรคนี้ก็มีความต่างกันอยู่บ้าง
ภาวะหัวใจสลาย ในทางการแพทย์เชื่อว่าเป็นเป็นเพราะฮอร์โมนแห่งความเครียด “แคทีโคลามีน” (Catecholamine) ที่หลั่งออกมาสูงฉับพลันเมื่ออยู่ในภาวะเครียด เช่น ตื่นเต้น ตกใจ กลัว ทำให้หัวใจเต้นแรง ใจสั่น หายใจลำบาก อาจเป็นนานหลายนาทีหรือเป็นชั่วโมง แต่ร่างกายจะกลับมาสู่ภาวะปกติในที่สุด
ส่วน ภาวะตรอมใจ หรือบอบช้ำทางจิตใจ บางคนมักมีอาการ “กินไม่ได้ นอนไม่หลับ” เบื่อโลก จิตใจผูกติดอยู่กับเรื่องเศร้า มองโลกในแง่ร้าย รู้สึกไร้ค่า และตำหนิตัวเอง อาจเป็นส่วนหนึ่งของ ภาวะซึมเศร้า (Depression) ซึ่งเกิดจากปริมาณที่ลดลงของสารเคมีในสมอง 3 ชนิด ได้แก่ เซโรโทนิน (Serotonin), นอร์เอปิเนฟริน (Norepinephrine) และโดปามีน (Dopamine) ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่มีความสุข มีความวิตกกังวล ซึ่งต้องพบจิตแพทย์เพื่อรักษา หากปล่อยไว้นานอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต เช่น ไม่กินอาหารเลย อยู่นิ่ง ๆ ตลอดวันจนร่างกายทรุดโทรม เกิดโรคแทรกซ้อน บางครั้งคิดอยากตายหรือพยายามฆ่าตัวตายตาม อาการเหล่านี้คนโบราณมักเรียกว่า “อาการตรอมใจตาย”
อ้างอิงบทความของโรงพยาบาลวิชัยยุทธ ระบุว่า โดยปกติอาการหัวใจวายจากภาวะ Broken Heart Syndrome จะเกิดขึ้นชั่วคราวแล้วค่อย ๆ หายไปเอง อาศัยการรักษาแบบประคับประคอง โดยให้ยารักษาภาวะหัวใจล้มเหลว ยาขับปัสสาวะ และยาควบคุมการเต้นผิดจังหวะของหัวใจ ควบคู่กับการรักษาภาวะเครียดที่เป็นสาเหตุของภาวะ Broken Heart Syndrome นี้ด้วย
สำหรับกรณีที่อาการรุนแรงและมีภาวะหัวใจล้มเหลวร่วมด้วย อาจต้องมีการใส่ท่อและเครื่องช่วยหายใจ ส่วนใหญ่ใช้เวลาประมาณ 1 - 4 สัปดาห์หัวใจจะกลับมาปกติ จากรายงานวารสารต่างประเทศโรคนี้มีโอกาสเสียชีวิตน้อยเพียง 1%
เหนือสิ่งอื่นใด การดูแลสุขภาพจิตใจเพื่อรับมือกับปัญหาและจัดการความเครียด สามารถร่วมกันหาทางออกได้กับครอบครัวและจิตแพทย์ และหากเกิดอาการขึ้นมากระทันหัน
เมื่อชีวิตต้องพบกับความผิดหวัง บางครั้งการรอให้ “เวลา” มาช่วยเยียวยา อาจยืดระยะความเศร้าใจนานออกไป และนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ เช่น ปัญหาสุขภาพร่างกาย ภาวะซึมเศร้า และการใช้ชีวิตในสังคม สิ่งสำคัญ คือ ต้องจัดการกับความเศร้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เทคนิคต่อไปนี้จะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับอารมณ์เศร้าและทำใจได้เร็วขึ้นเพื่อก้าวต่อไปในชีวิต
ยอมรับความจริงมันเกิดขึ้นแล้ว การยอมรับความจริง คือ กุญแจสำคัญในการเดินหน้าต่อไป หากคุณพยายามยื้อความสัมพันธ์หรือความเศร้าให้ฉุดรั้งชีวิตกันไว้ การหลุดพ้นและเริ่มต้นใหม่อาจไม่เกิดขึ้น แน่นอนว่าในช่วงแรก “กลไกป้องกันตนเอง” (Defence mechanism) จะเริ่มทำงานโดยที่คุณไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จิตใจของคุณจะ “ปฏิเสธความจริง” ดังนั้น การตั้งสติ และหายใจเข้าลึก ๆ จะช่วยให้เกิดสมาธิและคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันได้ดี
คำสอนหนึ่งในทางพระพุทธศานา กล่าวถึง “อริยสัจ 4” คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ซึ่ง “การยอมรับความจริงถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง” หลวงพ่อปราโมทย์ ณ สวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ท่านได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่าหากเรายอมรับความจริงได้ ชีวิตจะไม่ทุกข์
“...เราไม่ได้เห็นโลกในแง่น่าท้อแท้หดหู่ แต่เราเห็นโลกตามที่โลกมันเป็น
ในโลกนี้ หาสาระแก่นสารไม่ได้ นี่คือความจริง
ไม่ใช่มองโลกในแง่ร้าย มองโลกอย่างหดหู่ เรามองโลกตามความเป็นจริง
โลกเป็นอย่างนี้ ไม่น่าชื่นใจ ใจมันจะหลุด ในที่สุดมันก็เข้าสู่โลกุตระ เหนือโลก”
ระบายออกให้เต็มที่ เมื่อไหร่ที่คุณเสียใจจงอนุญาตร่างกายได้ปลดปล่อยพลังงานนั้นออกมา แต่ละคนก็มีวิธีจัดการกับอารมณ์เศร้าแตกต่างกัน บางคนเล่าให้คนรอบข้างฟัง บางคนระบายกับไดอารี แต่ขอเตือนว่า การโพสกล่าวโทษผู้อื่นเพื่อระบายในโซเชียลมีเดีย อาจไม่ช่วยอย่างที่คิด เพราะยิ่งเป็นการสุมไฟในจิตใจ
วิธีง่าย ๆ เช่น การร้องไห้ ก็ช่วยปลดปล่อยอารมณ์เศร้าของคุณได้ ข้อดีของการร้องไห้ ช่วยจะขับสารพิษออกจากร่างกายและลดความตึงเครียด จากนั้นก็ปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นมาทำตัวเองให้มีความสุขได้แล้ว
ให้ธรรมชาติบำบัด บางครั้งบรรยากกาศเดิม ๆ อาจทำให้คุณคิดวนเวียนแต่เรื่องเก่า พาลให้เศร้าหนักกว่าเดิม ลองเปลี่ยนโฟกัสด้วยการ “ออกเดินไปนอกบ้าน” สูดอากาศที่สดชื่น เช่น การออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ หรือท่องเที่ยวป่าเขาให้ “ธรรมชาติบำบัด” ก็ถือเป็นการคลายความเศร้าที่ดีวิธีหนึ่ง เพราะบรรยากาศที่เงียบสงบ ทิวทัศน์ที่สวยงาม กลิ่นหอม และอากาศที่สะอาดสดชื่นในป่า ล้วนส่งผลต่อสุขภาพจิตเชิงบวก
มีงานวิจัยหลายชิ้นในประเทศญี่ปุ่นต่างค้นพบว่า ธรรมชาติสามารถช่วยบรรเทาอาการสำหรับปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ได้ เช่น โรคหัวใจ โรคซึมเศร้า โรคมะเร็ง โรควิตกกังวล และโรคสมาธิสั้น
ในการศึกษาในช่วงแรก Yoshifumi Miyazaki ผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัดด้วยป่าและนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยชิบะในประเทศญี่ปุ่น พบว่าคนที่ใช้เวลา 40 นาทีในการเดินในป่าสนซีดาร์ มีระดับฮอร์โมนความเครียดที่ชื่อว่า “คอร์ติซอล” (Cortisol) ลดลง เมื่อเทียบกับการเดิน 40 นาทีในห้องแล็บ ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้มีผลต่อระดับความดันโลหิตและภูมิคุ้มกัน
อีกทั้ง งานวิจัยของ Nippon Medical School ในโตเกียว ยังพบว่า น้ำมันหอมระเหยของต้นไม้และพืชต่าง ๆ ที่ปล่อยออกมาคล้ายกับการบำบัดด้วย “อโรมาเธอราพี” (Aromatherapy) เมื่อสูดดมเข้าไปสามารถกระตุ้นอารมณ์ผ่อนคลาย ซึ่งช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น และลดความดันโลหิต สรุปได้ว่า การใช้เวลาในป่าทำให้เกิดสภาวะผ่อนคลายได้อย่างเหลือเชื่อ
ใส่ใจสุขภาพ ความห่อเหี่ยวหัวใจอาจทำให้คุณไม่อยากลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง รู้หรือไม่! แค่ออกกำลังกายเบา ๆ ก็ช่วยให้ร่างกายรับรู้ถึงความสุขได้แล้ว
การออกกำลังกายไม่ได้เพียงช่วยให้ทุกส่วนของร่างกายแข็งแกร่ง แต่ช่วยเพิ่มพลังให้สภาพจิตใจแข็งแรงขึ้นด้วย ทุกครั้งที่ร่างกายได้ออกแรง ไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง หรือกระโดด ล้วนกระตุ้นฮอร์โมนแห่งความสุขหลั่งออกมา เช่น
ขอคำแนะนำจากจิตแพทย์ หากคุณยังจมดิ่งอยู่กับความเศร้าและไม่สามารถหาทางหลุดพ้นได้ การเดินเข้าไปพบจิตแพทย์ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม คล้ายกับการไปหาหมอทั่วไปเมื่อเราเจ็บป่วย เพราะการปล่อยให้อาการเศร้า เสียใจ หดหู่ เรื้อรังเป็นเวลานาน อาจเสี่ยงต่อโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล บางรายถึงขั้นต้องรับยาควบคู่ไปด้วย
ใครที่อกหักแล้วไปพบจิตแพยท์ไม่ใช่เรื่องแปลก นักจิตวิทยาที่เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตย่อมสามารถให้คำแนะนำที่ดีและแก้ปมที่คุณกังวลใจทีละเรื่องได้ ซึ่งจะช่วย “ปลดล็อกความรู้สึก” เปลี่ยนทัศนคติให้คุณมองสถานการณ์ในอีกมุม
หัวเราะวันละนิด จิตแจ่มใส การหัวเราะ เป็นวิธีการเยียวยาจิตใจที่ง่ายกว่าการไปหาหมอ หรือได้ผลลัพธ์ดีกว่าทานยาเสียอีก เพราะ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ช่วยกระตุ้นให้คุณมีทัศนคติที่ดี จิตใจปลอดโปร่ง และส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีอีกหลายด้าน เช่น
นอกจากนี้ การหัวเราะ ยังช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ ดึงดูดผู้อื่นมาหาเรา คลี่คลายความขัดแย้ง ซึ่งอาจทำให้คุณได้พบเจอคนใหม่ ๆ ที่คุยกันถูกคอ
ความสุขและความทุกข์ไม่มีอะไรยั่งยืน สิ่งที่สำคัญที่สุดหลังจากความเสียใจ คือ การคิดบวก ยิ่งคุณ move on ได้เร็วเท่าไหร่ อนาคตที่สดใสและความสุขก็ยิ่งเข้าใกล้คุณเท่านั้น “Happy Valentine's Day”
“คนเราร้องไห้ไม่ใช่เพราะอ่อนแอ พวกเขาแข็งแกร่งมานานเกินไปต่างหากล่ะ” - Johnny Depp
ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนอนน้อยอ่านเปเปอร์, วงการแพยท์, Alljit ที่ปรึกษาสุขภาพจิตใจ, Dhamma.com