ขมิ้นลาเต้คือสิ่งที่พาฉันมาที่นี่
คือต้องบอกก่อนว่าตัวฉันเองเป็นคนกินอาหารแบบกึ่งมังสวิรัติ คือไม่ถึงขนาดวีแกน ไม่กินพวกเนื้อใหญ่ แต่กินเนื้อสัตว์ทะเล แต่ฉันก็รู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้เข้าร้านขายซูเปอร์ฟู้ดหรือวัตถุดิบวีแกน มันตื่นตาตื่นใจไปหมด และก็ไม่เคยเลยที่จะเดินออกมามือเปล่า
Sunshine Market เป็นเบเกอรี่และร้านขายซูเปอร์ฟู้ดของคุณเปรมรัตนา ศรีชวาลา ชาวไทยเชื้อสายอินเดีย ครั้งแรกที่แวะมาที่นี่ เพราะกูรูชาวอินเดียท่านหนึ่งแนะนำให้ฉันรู้จัก
“เธอจะต้องชอบที่นี่ โดยเฉพาะขมิ้นลาเต้”
จากวันนั้นมา เมื่อต้องมาแถวสุขุมวิท ฉันจะกลับมาที่นี่สม่ำเสมอ แน่นอน ขมิ้นลาเต้คือเครื่องดื่มที่ต้องสั่งทุกครั้ง
นอกจากขมิ้นลาเต้ที่หนึ่งในใจแล้ว ที่ร้านจะมีมุมนั่งกินอาหารเล็ก ๆ อยู่สองโต๊ะ ฉันชอบมากเลย ไม่พลุกพล่านดี อาหารที่นี่เป็นวีแกนแบบไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะคุณเปรมเชื่อว่าตราบใดที่เราใช้นมใช้ไข่จากแหล่งที่เรามั่นใจว่าเขาเลี้ยงวัวเลี้ยงไก่ของเขาเป็นอย่างดี ไม่มีการฉีดสารเร่งโต การกินนมวัวหริอกินไข่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลอะไร ส่วนผักที่ใช้ในร้านถูกส่งตรงมาจากฟาร์มแบบวนเกษตรของคุณเปรม ซึ่งอยู่ที่แม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
เค้กอินทผาลัมชิ้นน้อยๆ ถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะอาหาร กินคู่กับขมิ้นลาเต้ที่ฉันสั่งมาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว บทสนทนาระหว่างฉันกับคุณเปรมเริ่มขึ้น ฉันชอบมากเลยเวลาที่ได้คุยกับคนที่มีออร่าดี ๆ เนี่ย นากจากจะได้ฟังเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจแล้ว ยังได้รับพลังงานที่ดีกลับบ้านด้วย
จุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณเปรมสนใจในเรื่องของซูเปอร์ฟู้ดเริ่มมาจากลูกชายคนเล็กมีอาการป่วย ในขณะนั้นลูกชายคุณเปรมอายุสักสี่เดือนได้ สมัยนั้นซูเปอร์ฟู้ดยังเป็นเรื่องที่ใหม่มากสำหรับคนไทย ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารประเภทนี้ในเมืองไทยแทบไม่มีอยู่เลย
“เมื่อ 25 ปีที่แล้ว ตอนมีลูกสาวคนแรก เปรมงงมากกับเรื่อง solid food (อาหารเสริมสำหรับทารก) งงว่าอาหารมื้อแรกของเด็กอ่อนนี่ต้องกินอะไรยังไง คือให้เขากินอะไรเขาก็อาเจียน เขามีปัญหาเรื่องระบบการย่อยเยอะมาก เปรมก็พยายามหาข้อมูลจนไปเจอ superfood.com โห นักเขียนที่เขียนเว็บนี้สุดยอดแห่งความละเอียด มีข้อมูลหมดเลยว่าเด็กสี่ห้าเดือนควรกินหรือไม่กินอะไร ทำไมต้องกินอะไรก่อนหรือหลัง สำคัญสุดคือเขาเป็นพื้นที่แรกที่แนะนำคำว่าออร์แกนิกให้เปรมรู้จัก เพราะตอนนั้นเราไม่เคยมีความรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย”
จากจุดเริ่มต้นนั้นเอง คุณเปรมยึดข้อมูลตามที่ค้นเจอในเว็บไซด์ นำมาปรับใช้กับการทำอาหารให้ลูกสาว และมันก็เวิร์กมาก!
จนพอมาถึงลูกชายคนเล็ก คุณเปรมก็ใช้วิธีเดียวกันในการดูแลเรื่องอาหาร
“ช่วงหนึ่งพาลูกชายไปสิงคโปร์ ตอนนั้นอายุเขาประมาณสักสี่เดือน ปกติเวลาต้มนมให้ลูกกิน เราจะต้มกับน้ำเปล่าสะอาดปกติ แต่คราวนั้นเราไปเอาน้ำแร่มาต้ม ปรากฏเขาท้องเสีย พอกลับมาเมืองไทยหมอก็ให้ยาแอนตี้ไบโอติกมากิน และวันนั้นคือจุดเริ่มต้นที่เรารู้สึกว่าลูกเราเริ่มมีอาการที่ไม่โอเคสักเท่าไหร่เกิดขึ้นกับเขาอยู่เรื่อย ๆ จนพอหกขวบ ลูกชายท้องเสียหนักมาก ส่งแอดมิด เข้าโรงพยาบาลก็ได้แอนตี้ไบโอติกมาอีก หลังจากออกจากโรงพยาบาลจนผ่านไปสักสองสามวัน ลูกชายมีการบวมที่ผิวหนังหนักมาก เราก็พาไปหาหมออีก หมอบอกสงสัยโดนมดกัด ให้สเตียรอยด์มา ไอ้เราก็ไม่รู้เรื่องอะไร หมอให้อะไรมาก็ตามนั้นล่ะ พอเอายามาทาที่หนึ่ง ก็ไปเห่อขึ้นอีกทีหนึ่ง ตื่นมา เอ้า ปากบวม”
อาการที่ว่าลามไปเรื่อย ๆ คุณเปรมเลยพาไปหาหมอภูมิแพ้เพื่อตรวจอย่างละเอียด เจอลมพิษเต็มไปหมด มีการตรวจเลือดเพื่อส่งไปหาหมอทางด้านมะเร็ง ความเป็นแม่ในเวลานั้นก็ใจแป้วสิคะ พยายามรีเสิร์ชทุกทาง หาคำตอบให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายกันแน่
“หาหมอกลับไปกลับมาอยู่หนึ่งปีค่ะ หมอให้กินยาแก้แพ้เซอร์เท็ก หมอบอกกินไปเรื่อย ๆ ไอ้เราก็ โห แล้วจะต้องกินไปนานขนาดไหนนะ กระทั่งเราไปค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ตจนเจอ Health Care ที่ประเทศออสเตรเลีย ชื่อ Royal Prince Alfred Hospital เขามีแผนกด้านภูมิแพ้โดยเฉพาะ คุยกับเขาละเอียดมาก จนเราได้ไกด์ไลน์มาว่าวิธีการที่ต้องดูแลลูกในระหว่างนี้แบบเร่งด่วนคืออะไร คือที่นั่นคิวเขาไม่มีให้เลย เราก็ต้องตื้อข้ามประเทศอยู่นาน ในที่สุดเขามีคิวให้ ก็พาลูกบินไป ปรากฏวิธีการตรวจและให้ข้อมูลของหมอที่นั่นต่างจากหมอที่เมืองไทยที่เราเคยไปพบมาโดยสิ้นเชิง เขาให้เวลาเราหนึ่งชั่วโมงเต็ม ใจความสำคัญคือภูมิคุ้มกันในตัวของลูกชายเรามันได้เปลี่ยนไปแล้ว”
หมอผู้เชี่ยวชาญพิเศษในประเทศออสเตรเลียวินิจฉัยว่าลูกชายของคุณเปรมอยู่ในกลุ่มที่ฮิสเตอมีนบกพร่อง เกินค่าปกติ หรือที่เรียกว่า Food Intolerance
นั่นหมายถึงหากกินอาหารผิด อาหารที่ไม่เหมาะกับข้อจำกัดในฮิสเตอมีนของตัวเอง ก็จะนำมาซึ่งอาการผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย
ยกตัวอย่างเช่น ในอโวคาโด ช็อกโกแล็ต มะเขือเทศ ผักขม เหล่านี้ล้วนเป็นอาหารที่มีฮิสเตอมีนสูง คนที่ฮิสเตอมีนบกพร่องจะต้องเลี่ยงหรือควบคุม ถ้าไม่คุมก็จะเกิดอาการแพ้เห่อไม่หยุด
ที่ผ่านมาก่อนหน้า หมอที่เมืองไทยเองก็จ่ายยาแอนตี้ไบโอติกให้กับลูกชายคุณเปรมอยู่หลายครั้ง ยาเหล่านี้เมื่อผ่านระบบการดูดซึมอาหารของร่างกายแล้ว ก็ทำให้เกิดเป็นผลข้างเคียงต่าง ๆ ร่วมด้วย
จากวันนั้นคุณเปรมทำตามที่หมอในออสเตรเลียแนะนำ คือควบคุมเรื่องอาหารของลูกชายอย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับการกินวิตามิน โพรไบโอติก และฟิชออยล์ หนึ่งปีผ่านไป ลูกชายคุณเปรมหายเป็นปกติ
“ช่วงนั้นก็เหนื่อยนะคะ แต่มันคือหน้าที่ของเรา เราไม่สามารถเอาความรับผิดชอบนี้ไปโยนให้คนอื่นได้ อย่างที่ร้านก็เช่นกัน บางทีลูกค้ามีคำถามที่ต้องการคำตอบแบบชี้ขาดว่าซื้ออันนั้นอันนี้ไปกินแล้ว เขาจะหายป่วยไหม หายจากอาการที่เขาเป็นอยู่ไหม เราจะบอกกับลูกค้าเสมอว่า ไม่มีใครสามารถรู้จักร่างกายคุณได้ดีเท่าคุณ เราแค่ช่วยแนะนำได้ว่าอะไรดี อะไรมีประโยชน์แบบไหน แต่เรื่องผลลัพธ์มันอยู่ที่บอดี้ของแต่ละคน เพราะความเซ็นซิทีฟของคนเราไม่เหมือนกัน แต่อย่างหนึ่งที่บอกได้แน่ ๆ คือทุกอย่างเริ่มต้นจากการกิน ถ้ากินไม่โอเค ชีวิตก็ไม่โอเค”
หลังจากลูกชายหายป่วย คุณเปรมก็รู้สึกว่าในเมืองไทยนี่น่าจะมีคนอีกเยอะเหลือเกินที่กำลังหาทางออกในเรื่องของวัตถุดิบปลอดภัย ไม่แต่งสี ไม่แต่งกลิ่น ไม่ปนเปื้อน ไม่ปลอม คุณเปรมเลยตัดสินใจเปิดร้านจำหน่ายวัตถุดิบวีแกนและสกินแคร์ มีมุมเบเกอรี่และขายอาหารด้วย รวมทั้งมีคลินิกแพทย์แผนจีนและหมอโฮมิโออยู่ทางด้านหลังของร้าน
สินค้าที่นี่ส่วนใหญ่ถูกสั่งนำเข้ามาจากต่างประเทศ ทั้งจากอเมริกา เยอรมัน แคนาดา ออสเตรเลีย ของที่ผลิตในประเทศไทยซึ่งร้านของคุณเปรมเป็นผู้จำหน่ายเพียงเจ้าเดียวก็พอจะมีอยู่ สินค้าทั้งหมดถูกคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถัน เรียกว่าคุณเปรมบินไปดูถึงโรงงานผู้ผลิตเองเกือบทุกที่
ถึงวันนี้ Sunshine Market ทำธุรกิจมา 11 ปีแล้ว เริ่มจากบ้านหลังน้อยที่สุขุมวิท 33 ขยับขยายมาที่บ้านหลังใหญ่สีขาวในสุขุมวิทซอย 22
ในช่วงสามปีเต็มระหว่างการเริ่มทำธุรกิจ ต้องบอกว่าคุณเปรมเป็นผู้หญิงที่เนิร์ดมาก เธอพาตัวเองกลับไปใช้ชีวิตเป็นนักเรียนอีกครั้งด้วยการเรียนออนไลน์ในทุกศาสตร์ของโภชนาการรวมทั้งโฮมิโอ คือเรียนชนิดที่ว่าไม่มีอะไรให้เรียนอีกแล้ว
“ตอนเปิดร้านใหม่ ๆ นี่ทิ้งของเยอะมากค่ะ เพราะไม่มีใครซื้อ Nutritional Yeast นี่ทิ้งเป็นคันรถเลยนะ เพราะตอนนั้นคนยังไม่รู้จักคำว่าซูเปอร์ฟู้ด แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ยอมแพ้และไม่เคยเควทชั่นตัวเองด้วย เรามั่นใจเราเชื่อในของที่เรามี และเราก็ไม่เคยวิ่งตามเทรนด์”
มีของดีอยู่กับตัวจะกลัวอะไร ต้องใช้คำนี้
และเพราะความเชื่อมั่นนี้เอง การเดินทางของ Sunshine Market จึงเข้าสู่ปีที่ 12 แล้ว ที่นี่มีลูกค้าประจำทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินหมุนเวียนเข้าออกอยู่ตลอดทั้งวัน ลูกค้าหลายคนมาที่ร้านนี้ด้วยความผูกผัน บางทีก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้ออะไรหรอก แต่ไหนๆ ผ่านมาแล้วก็ต้องแวะเข้ามาเสียหน่อยด้วยความเคยชิน และแน่นอน ต้องได้อะไรสักอย่างติดมือกลับบ้านไปเสมอ
ใครกำลังมองหาวัตถุดิบปลอดภัย มีคำถามมากมายเกี่ยวกับเรื่องอาหาร ลองแวะมาที่นี่นะคะ พระอาทิตย์ยิ้มกว้าง Sunshine Market น่าจะให้คำตอบอะไรกับคุณได้
คลิก >> SUNSHINE MARKET