ชาวจีนเรียกมังกรกันว่า “เล้ง-เล่ง-หลง-หลุง” แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น โดยมีความเชื่อมาตั้งแต่โบราณว่า “มังกร” ถือเป็นสัตว์แห่งเทพเจ้าที่ถูกนับถือมากที่สุด ในบรรดา 4 สัตว์เทพศักดิ์สิทธิ์ (มังกรฟ้า, เสือขาว หงส์แดง และเต่าดำ) ชาวจีนให้ความสนใจกับปีมังกรมาก เพราะเชื่อว่าตนเองเป็นลูกหลานมังกร และยังมีคำเรียกแผ่นดินจีนอีกคำหนึ่งว่า “แดนมังกร” ซึ่งแสดงให้เห็นความกล้าหาญ แข็งแกร่งของชาวจีน
มังกรจีนนั้นเป็นตัวแทนแห่งพลัง อำนาจ ความยิ่งใหญ่ และเพศชาย โดยเฉพาะมังกร 5 เล็บ จึงถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิหรือฮ่องเต้ ในลัทธิเต๋าถือเป็นสัตว์พาหนะของเทพเจ้า ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองปราสาทราชวังของเทพเจ้าบนสวรรค์
มังกรกลายมาเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิตของชาวจีน เกิดเป็นประเพณี “การเชิดมังกร” เพื่อเฉลิมฉลองในวันตรุษจีน เชื่อว่ามังกรจะนำพาความโชคดีมาสู่ผู้คน ดังนั้น ยิ่งเชิดมังกรนานมากเท่าไหร่ก็จะนำความโชคดีมาให้ชุมชนมากขึ้นเท่านั้น
ในวัฒนธรรมเกาหลี มังกรเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ ความพิเศษ และความหวัง พบได้ในทุกชั้นของแวดวงสังคมเกาหลี เช่น กษัตริย์จะใช้มังกรเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและการผู้ปกครองที่ยุติธรรม สำหรับคนทั่วไป มังกรเป็นเทพเจ้าแห่งฝนและความโชคดี ปัดเป่าวิญญาณชั่วร้าย จึงมักจะติดไว้รอบ ๆ สิ่งของที่เกี่ยวข้องกับน้ำ เช่น ฝาท่อระบายน้ำหรือเสากระโดงเรือ และยังมีความเชื่ออีกว่า ถ้าฝันถึงมังกรถือเป็นความฝันที่ดีที่สุด
เครดิตภาพ : https://korelimited.com
ตำนานพื้นบ้านเกาหลีอันโด่งดังเล่าถึงสัตว์ชนิดหนึ่ง เป็นมังกรตัวเล็กที่มีลักษณะคล้ายงูยักษ์ เรียกว่า “อิมูกิ” ( 이무기) ชาวเกาหลีเชื่อว่าเป็นร่างกำเนิดของมังกร และจะกลายเป็นมังกรอย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อได้รับพลังจาก “ยูอีจู” ไข่มุกจากสวรรค์ ต้องสะสมบารมีอยู่ในถ้ำเป็นเวลาหนึ่งพันปี โดยดูดซับพลังงานจากทั้งโลกและสวรรค์ ก่อนที่จะเปลี่ยนสถานะเป็นมังกรเต็มตัว ชาวบ้านต่างนับถืออิมูกิว่าเป็นสัตว์สิริมงคล มีจิตวิญญาณแห่งน้ำและถ้ำ
เรื่องเล่าของอิมูกิกลายเป็นแรงบันดาลใจของสื่อเกาหลีร่วมสมัยในปัจจุบัน เช่น ซีรีส์เกาหลีปี 2020 เรื่อง “Tale of the Nine-tailed” และภาพยนตร์เกาหลีปี 2007 เรื่อง D-War ซึ่งมีอิมูกิเป็นตัวละครหลัก
ความเชื่อเรื่องมังกรของชาวญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลอย่างมากจากจีน แต่รูปร่างหน้าตาต่างกันตรงที่มังกรญี่ปุ่นมีกรงเล็บเพียง “สามกรงเล็บ” แทนที่จะเป็นห้ากรงเล็บ ชาวญี่ปุ่นเรียกกันว่า “ริว” (龍) หรือ “ทัตสึ” (竜) เป็นสัตว์คล้ายงู ตัวแทนของความแข็งแกร่งและอำนาจ จึงได้รับความเคารพและยกย่องอย่างสูงในสังคมญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งภูมิปัญญา ความอุตสาหะ และความเป็นอมตะในจิตใจของคนญี่ปุ่น
มีตำนานที่รู้จักกันดีเกี่ยวกับ “ราชามังกร” ซึ่งว่ากันว่าอาศัยอยู่ในสระน้ำบริเวณศาลเจ้า “ชินเซเน็น” สวนส่วนตัวของจักรพรรดิแห่งเกียวโต นอกจากนี้ยังมีอีกความเชื่อหนึ่งที่ว่า มังกรเป็น “เทพแห่งท้องทะเล” เป็นผู้ควบคุมกระแสน้ำและเป็นตัวแทนของทั้ง “อันตราย” และ “ความเงียบสงบแห่งท้องทะเล”
ทุก ๆ ปีช่วงฤดูใบไม้ผลิ ชาวญี่ปุ่นจะมีเทศกาลเชิดมังกรทองหรือ คินริวโนะ ไม (Kinryu no mai) จัดขึ้นที่ วัดเซ็นโซะจิ วัดชื่อดังของกรุงโตเกียว พิธีแฝงไปด้วยเลข 8 ซึ่งชาวญี่ปุ่นถือเป็นเลขนำโชค โดยมังกรที่นำมาเชิด ลำตัวมีความยาว 18 เมตร หนัก 88 กิโลกรัม และลำตัวมีเกล็ดไม่ต่ำกว่า 8,888 เกล็ด และใช้คนเชิด 8 คนแห่ไปรอบ ๆ โถงหลักของวัด
มังกรในความเชื่อของไทย รวมถึงประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปรากฏในชื่อ นาคา หรือ พญานาค ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอินเดีย ตามความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนาพุทธ ถือเป็นสัตว์ชั้นสูงและเป็นสิริมงคล
นาค ตามความเชื่อของพราหมณ์-ฮินดู เป็นสิ่งมีชีวิตกึ่งเทพ รูปร่างเป็นมนุษย์กึ่งนาค หรือไม่ก็คล้ายงูใหญ่ทั้งหมด มีพลังวิเศษอาศัยอยู่ในโลกบาดาล และถือว่าเป็นผู้พิทักษ์สมบัติ ในตำนานฮินดูยังเล่าว่า นาคประทับรอบพระศอ (คอ) ของพระศิวะได้มาเป็นเชือกสำหรับพิธีกวนน้ำศักดิ์สิทธิ์
ในพระพุทธศาสนากล่าวถึง พญานาคซึ่งปรากฏในพุทธประวัติชื่อว่า “มุจลินท์” นาคผู้แผ่พังพานปกป้องพระพุทธเจ้าจากพายุฝนเป็นเวลา 7 วัน ขณะเสวยวิมุตติสุขใต้ต้นจิกในสัปดาห์ที่ 6 หลังการตรัสรู้ จึงเป็นที่มาของพระพุทธรูป “ปางนาคปรก”
ในความเชื่อของวัฒนธรรมร่วมไทย-ลาว นับถือนาคว่าเป็นเทพแห่งน้ำ อาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง และยังอีกเชื่อว่าแม่น้ำโขงและแม่น้ำน่านเกิดจากการไถลตัวของพญานาค 2 ตน เป็นที่มาของตำนาน “บั้งไฟพญานาค” ในวันออกพรรษา วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พญานาคแม่น้ำโขงต่างชื่นชมยินดี จึงทำบั้งไฟถวายการเสด็จกลับของพระพุทธเจ้า
ภาพถ่ายกระสุนส่องวิถีเปิดหน้ากล้องนาน 30 วินาที ในคืนวันออกพรรษาปี พ.ศ. 2555 ที่อำเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย เครดิต-สมภพ ขำสวัสดิ์
ทุกวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ของทุกปี จึงมีประเพณีบุญบั้งไฟพญานาคริมแม่น้ำโขง จากฝั่งประเทศไทย (หนองคาย) และฝั่งประเทศลาว (เวียงจันทน์) เพื่อบูชากราบไหว้และอธิษฐานขอพรกับพญานาคในเรื่องการประกอบอาชีพและโชคลาภ เป็นความศรัทธาที่คนไทยและลาวปฏิบัติมาช้านาน
ขอบคุณแหล่งข้อมูล : www.thaipbs.or.th, วารสารบริหารธุรกิจและสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง (ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน 2564), www.ambassadors-japan.com, www.nfm.go.kr, www.museumsiam.org