แต่เนื่องจากการเรียนออนไลน์จำเป็นที่จะต้องมีอุปกรณ์ เช่น โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือโทรศัพท์มือถือ เป็นตัวกลางในการสื่อสาร เมื่อต้องใช้สายตาจดจ้องเป็นเวลานาน จึงอาจส่งผลกระทบต่อสายตาในระยะยาว กรมอนามัยแนะพ่อแม่ควรดูแลปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม เลือกอาหารที่ช่วยบำรุงสุขภาพและสายตาของลูก เมื่อลูกต้องเรียนออนไลน์
6 ก.ค.2564 นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทำให้สถานศึกษาหลายพื้นที่ปรับรูปแบบการเรียนการสอน ทั้งแบบ On Air, Online, On Demand, On Hand
ข้อมูลกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.2564 พบว่า โรงเรียนที่เปิดการเรียนการสอนในภาพรวมทั้งประเทศ ปรับรูปแบบจาก On Site มาเป็นการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต (Online) ร้อยละ 20.8 ผ่านโทรทัศน์ (On Air) ร้อยละ 17.0
สำหรับโรงเรียนในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้กำหนดให้เปลี่ยนการเรียนการสอนจาก On Site เป็นแบบ Online และพบว่ามีการดำเนินงานในรูปแบบดังกล่าวถึงร้อยละ 80 ขณะที่อีกร้อยละ 20 อาจใช้การเรียนการสอนรูปแบบอื่น ๆ
ขณะที่การเรียนแบบ Online ผู้ปกครองจะต้องมีส่วนร่วมในการเรียนของลูกมากขึ้น เพราะการเรียนผ่าน Online และ On Air จะใช้เวลาอยู่กับสื่อการเรียนการสอน เช่น โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือโทรศัพท์มือถือ ระยะใกล้เป็นเวลานาน ต้องใช้สายตาเพ่งมองดูข้อมูลหน้าจอ อาจมีผลทำให้เกิดอาการแสบตา ตาแห้ง ปวดตา ในบางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ หรือมองไม่ชัดหลังเลิกเรียน ซึ่งอาจเกิดจากปัญหาทางสายตา เช่น สายตาผิดปกติ สายตาสั้น หรือมีตาดำเขเข้าหรือเขออกเป็นครั้งคราว ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในระยะยาว
วิธีดูแลสุขภาพตาช่วงเรียนออนไลน์
นพ.สุวรรณชัย แนะนำวิธีการที่เหมาะสมในการใช้สายตาเรียน Online ดังนี้
ดูแลสายตา สูตร 20-20-20 ระยะเวลาการใช้สายตาในการเรียน Online และ On Air เพ่งดูหน้าจอ ด้วยหลักการ 20-20-20 คือ ใช้สายตามองใกล้ติดต่อกันไม่เกิน 20 นาที โดยควรพักใช้สายตา 20 วินาที ด้วยการมองไปที่ระยะห่าง 20 ฟุต (6 เมตร) เพื่อเป็นการพักสายตา แล้วกลับมาใช้สายตาใหม่ได้
บริหารจัดการแสง จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อการเรียน ไฟไม่มืดหรือสว่างเกินไป เพราะแสงเข้าตามากเกินอาจทำให้เกิดจอประสาทตาเสื่อม จึงต้องปรับหน้าจอให้สว่างพอดี
ตาแห้ง ต้องระวัง แนะนำให้กระพริบตาบ่อย ๆ หลับตาพัก (นับ 1-5 แล้วลืมตาใหม่) เพราะการใช้สายตานาน ๆ อาจเกิดภาวะตาแห้ง เคืองตา กะพริบตาน้อย (ปกติคนเรากะพริบตา 10-12 ครั้งต่อนาที) รวมถึง
ตำแหน่งที่นั่งควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีลมพัดมาก ลมแอร์ตกใส่ และระดับของโทรศัพท์มือถือไม่สูงเกินไป เพราะจะทำให้เปิดเปลือกตามากขึ้น ควรอยู่ระดับต่ำกว่าสายตาจะช่วยลดภาวะตาแห้งได้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และไม่ควรใช้สายตาในที่มืด
ทั้งนี้ พ่อแม่ยังสามารถส่งเสริมการมีสายตาที่ดีให้กับลูกได้ ด้วยการเลือกผักผลไม้สีเขียวเข้ม สีเหลือง สีส้ม สีแดง เช่น ผักตำลึง ผักบุ้ง แครอท ฟักทอง มะเขือเทศ มะม่วงสุก มะละกอ สับปะรด แคนตาลูป เพราะในผักผลไม้เหล่านั้นมีสารแคโรทีนอยส์ ที่ช่วยเรื่องการมองเห็นในที่มืดได้ดี ลดความเสื่อมของเซลล์ลูกตา ลดความเสี่ยงเป็นต้อกระจก ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดี รวมถึงการใช้ไข่ ตับ ปลา เป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหาร และควรให้เด็กดื่มนมวันละ 2 แก้ว