★ช่วงเวลาเริ่มสังเกตการณ์ : พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ทางทิศตะวันออก
ในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ 2565 ดาวอังคารจะโคจรใกล้โลกมากที่สุด ครั้งนี้เข้าใกล้โลกของเราประมาณ 81.5 ล้านกิโลเมตร ก่อนจะโคจรมาอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามดวงอาทิตย์ ในวันที่ 8 ธันวาคม 2565 เกิดเป็นปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ โลก และดาวอังคารเรียงตัวอยู่ในเส้นเดียวกัน (Opposition)
ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก ตามสถิติที่นักดาราศาตร์เคยบันทึกไว้ ดาวอังคารจะโคจรมาอยู่ในตำแหน่งใกล้โลกทุก ๆ 2 ปี 2 เดือน และเข้าใกล้โลกที่สุดทุก 15 -17 ปี แม้ปีนี้จะเป็นการโคจรที่ใกล้โลกน้อยกว่าปี 2020 ซึ่งเป็นการเข้าใกล้โลกที่สุดในรอบ 15 ปี (ระยะห่างจากโลกประมาณ 62.07 ล้านกิโลเมตร) แต่ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้เห็นดาวอังคาร “สว่างที่สุด” ในรอบปีเช่นกัน
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการสังเกตดาวอังคารใกล้โลก คือ หลังจากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า หากมองด้วยตาเปล่า ดาวอังคารจะส่องประกายเด่นชัดเป็น “สีส้มแดง” ทางทิศตะวันออกตลอดคืนจนถึงรุ่งเช้า หากใช้กล้องดูดาวขนาด 10 นิ้ว และขยายกำลังตั้งแต่ 100 เท่าขึ้นไป สามารถมองเห็นรายละเอียดของพื้นผิว รวมทั้งขั้วน้ำแข็งบนดาวอังคารได้ชัดเจน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและแสงของแต่ละพื้นที่
ภาพดาวอังคารที่ส่องสว่างที่สุดทางทิศตะวันออก ที่มา : Eric Kilby
ดาวอังคาร (Mars) มีฉายาว่า “ดาวเคราะห์สีแดง” (Red Planet) เป็นดาวเคราะห์ลำดับที่ 4 ในระบบสุริยะที่มีศูนย์กลางเป็นดวงอาทิตย์ มีขนาดเล็กกว่าโลก 1 เท่า เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6,794 กิโลเมตร เป็นดาวเคราะห์ถูกส่งยานไปสำรวจมากที่สุด นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 รวม 55 ครั้ง นักวิทยาศาสตร์ต่างเชื่อว่า บนดาวอังคารน่าจะมีออกซิเจนและน้ำที่เอื้อต่อการเกิดของสิ่งมีชีวิต และหวังว่ามันจะเป็นโลกใบที่ 2 ของมนุษย์ นอกจากนี้ดาวอังคารยังคุณสมบัติหลายอย่างที่ใกล้เคียงกับโลก เช่น
การที่ดาวอังคารโคจรเข้าใกล้โลกมากที่สุดจึงป็นโอกาสดีของนักวิทยาศาตร์ ในการทำภารกิจสำรวจดาวเคราะห์สีแดงอย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังเป็นการประหยัดงบประมาณ สังเกตได้จากการเปิดตัวโครงการสำรวจดาวอังคารทุก ๆ 2 ปี
สำหรับใครที่สนใจร่วมสังเกตุดาวอังคารไปพร้อมกัน ทาง NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ก็มีกิจกรรมชวนสังเกตการณ์ “ดาวอังคารใกล้โลก” ณ จุดสังเกตการณ์ 4 แห่ง ได้แก่
เวลา 18:00 – 22:00 น. ฟรี ! ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือชมถ่ายทอดสดอยู่ที่บ้านได้ผ่าน NARIT Facebook Live คลิก
★ช่วงเวลาเริ่มสังเกตการณ์ : 12:42 น.
ในวันที่ 8 ธันวาคม หรือราวหนึ่งสัปดาห์หลังจากดาวอังคารใกล้โลกที่สุด เราจะมองเห็นดาวอังคารจะสว่างที่สุดได้ตลอดทั้งคืนในทิศทางตรงกันข้ามกับดวงอาทิตย์ ตั้งแต่ช่วงเวลา 12:42 น. และจางไปเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ขณะเดียวกันถ้าเรายืนอยู่บนดาวอังคารก็จะมองเห็นโลกสว่างมากกว่าที่เคย เนื่องด้วยอิทธิพลของแสงจากด้วยอาทิตย์
ภาพจำลองวงโคจรของดาวอังคารเกิดเป็น 2 ปรากฏการณ์ในเวลาใกล้เคียงกัน ที่มา: NARIT.or.th
ดาวอังคารนั้นโคจรเป็นรูปวงรี ส่งผลให้ทุก ๆ 2 ปี 2 เดือน ดาวอังคาร โลก และดวงอาทิตย์เรียงตัวในเส้นเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์เรียกสิ่งนี้ว่า “Opposition” เป็นการโคจรมาประชันกันที่ใกล้ที่สุดระหว่างดาวอังคารและดวงอาทิตย์ จังหวะเดียวกันที่โลกโคจรมาขั้นอยู่ตรงกลางพอดี
นอกจากนี้ ในวันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม ยังมีปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่น่าสนใจอื่น ๆ เช่น
★ ช่วงเช้ามืด ดวงจันทร์อยู่ใกล้ดาวอังคารที่ระยะมุม 4 องศา
★ เกิดจันทร์เพ็ญหรือพระจันทร์เต็มดวง (Full moon) ในเวลา 11:08 น.
★ เวลาหัวค่ำ ดวงจันทร์อยู่ใกล้ดาวอังคารที่ระยะมุม 5 องศา
★ช่วงเวลาเริ่มสังเกตการณ์ : ช่วงเช้า 06:29 - 06:41 น. และช่วงเย็นเวลา 17:50 - 18:01 น.
เชื่อว่าใครหลายคนคงหลงใหลท้องฟ้าในช่วงพลบค่ำ ที่มีทั้งสีเหลืองทอง ส้ม แดง หรือชมพูผสมกันดั่งภาพวาด แสงลักษณะนี้เรียกว่า “แสงสนธยา” พบได้ใน 2 ช่วงเวลา คือ ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นและหลังพระอาทิตย์ตกประมาณ 10 - 15 นาที เกิดขึ้นขณะที่โลกหมุนรอบตัวเองเพื่อเปลี่ยนผ่านจากกลางวันสู่กลางคืน และกลางคืนสู่กลางวัน แสงของดวงอาทิตย์ที่กระจายอยู่ในชั้นบรรยากาศในตำแหน่งที่อยู่ต่ำกว่าบนพื้นโลกทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ท้องฟ้าเปลี่ยนสี” เป็นสีสันต่าง ๆ บริเวณใกล้เส้นขอบฟ้า
แสงสนธยาช่วงเช้า จุดชมวิวดอยกิ่วลม จ.เชียงใหม่ ที่มา: อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง
นักดาราศาตร์ได้นิยามชื่อเรียกของแสงสนธยาไว้ 3 แบบ วัดจากองศาของพระอาทิตย์ที่ทำมุมกับเส้นขอบฟ้า ได้แก่
ภาพแสงสนธยาในยามเย็น
“แสงสนธยา” สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเดือน และในเดือนธันวา 2565 สามารถดื่มด่ำบรรยากาศบนท้องฟ้าดี ๆ แบบนี้ไปจนถึงสิ้นปี ในวันที่ 7, 11, 15, 19, 23, 27 และ 31 ธันวาคม 2565 เวลารุ่งเช้า 06.29 - 06:41 น. และช่วงพลบค่ำเวลา 17:50 - 18:01 น. ดังนั้นเตรียมกล้องให้พร้อมสำหรับการถ่ายภาพวิว หรือภาพบุคคลสวย ๆ ได้เลย
★ช่วงเวลาเริ่มสังเกตการณ์: ช่วงเวลา 20:00 น.
★คืนที่มีมากที่สุด : คืนวันที่ 14 จนถึงเช้ามืดวันที่ 15 ธันวาคม 65
★ชั่วโมงที่คาดว่าจะเห็นดาวตกมากที่สุด : เวลา 22:00 - 23"00 น.
เดือนธันวาคม เราจะได้เห็น “ฝนดาวตกคนคู่” ปรากฏเป็นโทนสีเหลือง หาชมได้ทุกที่ตามจุดกระจาย (radiant) ของกลุ่มดาวราศีเมถุนบนท้องฟ้ายามค่ำคืน จากสถิติเมื่อปีก่อน (2021) ฝนดาวตกคนคู่มีอัตราตกสูงสุดราว 150 ดวงต่อชั่วโมง ซึ่งปีนี้หากท้องฟ้าเป็นใจคาดว่าเราอาจได้เห็นอัตราดาวตกสูงสุดประมาณ 120 ดวงต่อชั่วโมง เรียกได้ว่าเป็นฝนดาวตกพิเศษที่สุดกลุ่มหนึ่งในรอบปี
ปรากฏการณ์ฝนดาวตกคนคู่ หรือฝนดาวตกเจมินิดส์ แตกต่างจากฝนดาวตกอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่เกิดจากดาวหาง เป็นฝนดาวตกหนึ่งเดียวที่เกิดจากดาวเคราะห์น้อยชื่อว่า 3200 เฟทอน (3200 Phaethon) ต้นกำเนิดของกลุ่มดาวราศีเมถุน
ในเดือนธันวาคม สะเก็ดดาวเคราะห์น้อย 3200 เฟทอนจะส่องสว่างมากที่สุด วัดได้โชติมาตรปรากฏประมาณ 10.7 เกือบเทียบเท่าค่าความสว่างพระจันทร์เต็มดวง และโคจรใกล้โลกด้วยระยะห่างไม่เกิน 10.3 ล้านกิโลเมตร แรงดึงดูดของโลกจะดึงเอาฝุ่น หิน เข้ามาเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศเกิดเป็นลำแสงวาบกลายเป็นฝนดาวตกที่เราเห็น
ภาพฝนดาวตกคนคู่ หรือเจเมนิดส์ คืนวันที่ 13-14 ธันวาคม 2563 ที่มา: NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ
จำนวนดาวตกที่มองเห็นขึ้นอยู่กับพื้นที่และจุดส่องสว่างบนท้องฟ้า จากข้อมูลของ สมาคมดาราศาตร์ไทย ระบุว่า ในสภาพอากาศบนท้องฟ้าปลอดโปร่ง มีเมฆน้อยจะทำให้เรามองเห็นฝนดาวตกคนคู่ได้ชัดเจนขึ้น คาดว่าจะมองเห็นได้มากที่สุดในคืนวันที่ 14 - เช้ามืดวันที่ 15 ธันวาคม 65 ช่วงเวลาที่ดีที่สุด คือ เวลา 22:00 - 23:00 น. หลังจากนี้แสงจันทร์จะรบกวนทำให้มองเห็นฝนดาวตกคนคู่ได้ยากขึ้น โดยเฉพาะท้องฟ้าในเมืองใหญ่ ๆ ที่มีแสงไฟร่วมด้วยยิ่งเป็นอุปสรรค
*การคาดหมายอัตราตกของฝนดาวตกอาศัยข้อมูลตัวเลขจากปรากฏการณ์ในอดีต
*ข้อมูลฝนดาวตกจาก International Meteor Organization (IMO) และ Meteor Shower Flux Estimator โดย Peter Jenniskens
★ช่วงเวลาเริ่มสังเกตการณ์: ไม่สามารถสังเกตุเห็นได้
ในคืนวันที่ 23 ธันวาคม 2565 ตรงกับวันแรม 14 ค่ำ เดือนอ้าย เกิดปราฏการณ์ “คืนเดือนมืด” เป็นตำแหน่งที่ดวงจันทร์อยู่ระหว่างโลกและดวงอาทิตย์ ทำให้ไม่มีแสงมาตกประทบที่ดวงจันทร์ คืนนี้จึงเป็นคืนที่ “มืดสนิท” ไม่สามารถมองเห็นพระจันทร์ได้เลย แต่เราจะมองเห็นดาวพุธชัดเจนขึ้นในวันฟ้าเปิด
ทุกครั้งที่เกิดปรากฏการณ์ New Moon หรือ คืนเดือนดับ ตามปฏิทินจันทรคติของไทยจะเริ่มนับ “ข้างขึ้น ข้างแรม” (The Moon’s Phases) รอบใหม่ โดยยึดจากวิถีโคจรรอบโลกของดวงจันทร์เป็นหลัก
ข้างขึ้น (Waxing) นับจากด้านสว่างของดวงจันทร์ เป็นช่วงระหว่างคืนเดือนมืดจนถึงคืนวันเพ็ญ แบ่งออกเป็น 15 ส่วน เริ่มจาก ขึ้น 1 ค่ำ จนถึง ขึ้น 15 ค่ำ ส่วน ข้างแรม (Waning) นับจากด้านมืดของดวงจันทร์ เป็นช่วงที่เกิดขึ้นระหว่างคืนวันเพ็ญจนถึงคืนเดือนมืดรอบใหม่ แบ่งออกเป็น 15 ส่วนเช่นกัน เริ่มจาก แรม 1 ค่ำ จนถึงแรม 14 -15 ค่ำ สำหรับ “วันพระ” จะมีเฉพาะวันขึ้น 8 ค่ำ กับ 15 ค่ำ และ แรม 8 ค่ำ กับแรม 15 ค่ำ ของทุกเดือน
ในทางโหราศาสตร์ คืนเดือนมืด เรียกว่า “วันอมาวสี” เป็นคืนที่พระจันทร์มีพลังและส่งพลังดีที่สุด ผู้คนมักการสวดมนต์อธิษฐาน “ขอเงินจากพระจันทร์” ที่กำลังกำเนิดพลังขึ้นใหม่ เชื่อว่าพระจันทร์มีผลต่อความมั่งคั่งในชีวิต
เกร็ดน่ารู้: ดวงจันทร์ไม่มีแสงในตัวเอง สามารถส่องแสงได้จากการสะท้อนแสงของดวงอาทิตย์เท่านั้น
★ช่วงเวลาเริ่มสังเกตการณ์ : 02:00 น.
★ช่วงเวลาคาดว่าจะเห็นดาวตกมากที่สุด : 04:00 - 06:00 น.
★คืนที่มีมากที่สุด : คืนวันที่ 3 จนถึงเช้ามืดวันที่ 4 มกราคม 66
ฝนดาวตกควอดรานติดส์ เป็นหนึ่งในฝนดาวตกที่ส่องแสงชัดเจนและตกสม่ำเสมอที่สุด ปีนี้อาจมากถึง 120 ดวงต่อชั่วโมงในคืนวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส สามารถสังเกตด้วยตาเปล่าบริเวณจุดกระจายใกล้ ๆ กลุ่มดาวเฮอร์คิวลีส คนเลี้ยงสัตว์ และมังกร
สะเก็ดดาวทำให้เกิดฝนดาวตกควอดรานติดส์ เกิดจากดาวเคราะห์น้อยที่อยู่ใกล้โลก ชื่อ 2003 อีเอช 1 (2003 EH 1) จุดกระจายที่สามารถสังเกตฝนดาวตกกลุ่มนี้ได้ดีที่สุด คือประเทศในละติจูดสูงของซีกโลกเหนือ เช่น ทวีปยุโรป ทวีปอเมริกาเหนือ แถบไซบีเรียหรือเอเชียตอนเหนือ สำหรับประเทศไทยซึ่งอยู่ในละติจูดที่ห่างไกล อาจมองเห็นดาวตกได้ไม่มากนัก
ภาพฝนดาวตกที่อุทยานดาราศาสตร์สิรินทร จ.เชียงใหม่ ที่มา: NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ
ในเดือนธันวาคม 2565 นับว่าข่าวดีสำหรับชาวไทย ทางสมาคมดาราศาตร์ไทยคาดการณ์ไว้ว่า โลกจะเคลื่อนผ่านธารสะเก็ดดาวที่หนาแน่นที่สุด (meteoroid stream) ในวันอังคารที่ 4 มกราคม 2565 เวลาประมาณ 03:40 น. ทำให้ประเทศไทยอาจมีโอกาสได้เห็นฝนดาวตกควอดรานติดส์โปรยลงมา “มากเป็นพิเศษ” ราว 50 ดวงต่อชั่วโมง โดยเฉพาะในช่วงเวลาประมาณ 03:30 - 05:30 น.
*การคาดหมายอัตราตกของฝนดาวตกอาศัยข้อมูลตัวเลขจากปรากฏการณ์ในอดีต
*ข้อมูลฝนดาวตกจาก International Meteor Organization (IMO) และ Meteor Shower Flux Estimator โดย Peter Jenniskens
ดาวหาง (comet) ไม่ใช่ดาวเคราะห์แต่เป็นอุกกาบาตที่ประกอบด้วย “ก้อนน้ำแข็งและฝุ่น” ปกคลุมด้วยกลุ่มก๊าซที่ระเหิดเกิดเป็นชั้นฝุ่นล้อมรอบทอดยาวออกไปดูคล้ายส่วนหาง แสงสว่างของดาวหางเกิดจากการปะทุของฝุ่นและก๊าซเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ เรียกว่า “โคมา” (Coma) ทำให้เราสามารถมองเห็นดาวหางด้วยตาเปล่า
ในขณะที่ “ฝนดาวตก” จะมีความสว่างวาบเป็นเส้น เกิดจากสะเก็ดของดาวเคราะห์น้อย (Asteroids หรือ Minor planets) ที่มีสถานะเป็น “ก้อนหิน” ขนาดเล็กหลายพันก้อนที่รวมตัวกันในระบบสุริยะ สามารถส่องแสงได้จากการสะท้อนแสงของดวงอาทิตย์ นักดาราศาสตร์จำแนกดาวเคราะห์น้อยได้ 3 ประเภท คือ สว่างน้อยหรือมืดที่สุด (C-type Asteroid), สว่างปานกลางเป็นสีเทา (S-type Asteroid) และ สว่างที่สุด (M-type Asteroid)
ขอบคุณข้อมูล : LESA: ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์, วารสารวิชาการเรื่องดาวอังคาร MARS โดย NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ, สมาคมดาราศาสตร์ไทย, earthsky.org, wikipedia.org