“ต้องถอดหน้ากากไหมนะ”
ฉันถามตัวเองด้วยความลังเล ขณะยืนหลบ ๆ ซ่อนๆ อยู่ตรงทางทางเชื่อมจากตัวที่พักของ Mala Dhara Eco Resort and Wellness Center ไปยังลานอเนกประสงค์กลางทุ่งนา ที่กลุ่มผู้รักเสรีภาพไร้หน้ากาก หรือถ้าเป็นคนอื่นก็อาจจะเรียกลักษณะของกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้านี้ว่า ฮิปปี้ กำลังร้องรำทำเพลงกระโดดโลดเต้นอยู่ตรงลานสนามหญ้าใต้ธงราวโบกสะบัดในช่วงพระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน ล้อมด้วยบ้านดินหลังเล็กหลังน้อยที่กระจัดกระจายอยู่ในอาณาเขตเดียวกัน โอบล้อมอีกชั้นด้วยแนวเทือกเขาของจังหวัดเชียงใหม่
โรแมนติกจริง ๆ ให้ตายเถอะ
ลองใครได้มา มาลาดารา เป็นต้องยืนอ้าปากค้างกันทุกคน นี่มันโลกคู่ขนานกับโลกยุคโควิดชัดๆ
มันคือความรู้สึกของการหลุดเข้ามาในโลกอีกใบ บนผืนที่ดินขนาด 12 ไร่ กับโลกคู่ขนานปราศจากซึ่งความกลัว เต็มไปด้วยความเชื่อและศรัทธาในจิตวิญญาณ พระแม่ธรณี และพลังแห่งธรรมชาติ ที่จะคอยปกปักรักษาทั้งผู้เป็นเจ้าของสถานที่และแขกผู้มาเยือน
ท้ายที่สุด ฉันตัดสินใจถอดหน้ากากออก ตั้งจิตตัวเองให้สะอาด วางใจในสถานที่ วางใจในพลังงานที่ดีของตัวเอง ไม่คิดฟุ้ง เพราะครั้งหนึ่ง กูรูชาวอินเดียผู้เชี่ยวชาญทางศาสตร์อายุรเวทท่านหนึ่งที่ฉันนับถือ เคยเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า ในวันที่ทั้งครอบครัวของเธอติดโควิด ซึ่งเธอเองก็นอนอยู่ด้วยกันกับสมาชิกครอบครัว แต่เธอกลับไม่เป็นอะไรเลย กูรูให้เหตุผลว่า ข้อแรก เธอฝึกโยคะและฝึกปราณสม่ำเสมอ ข้อที่สอง เธอไม่เคยตั้งจิตไปผูกไว้กับความกลัวโควิด เธอว่ายิ่งเราปล่อยให้มีความกลัวเกิดขึ้นในตัวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการให้อาหารกับความความคิดลบๆ พอยิ่งคิดลบ ก็เกิดแรงสั่นสะเทือน (Vibration) ของความเป็นลบที่แข็งแรง ท้ายที่สุด เราเลยจมอยู่กับความกลัว ระแวดระวัง ไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตกับความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า
ฉันรู้จักพลอย เจ้าของมาลาดารา มาประมาณหกปีกว่าแล้ว นอกจากพลอยจะมีแพสชั่นในเรื่องของการกินดี การเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพแล้ว เธอยังทุ่มพลังและหัวใจไปกับเรื่องของการปลูกข้าว ปลูกพืชผักสวนครัว โดยเฉพาะแปลงกุหลาบที่มาลาดารานี่ ดอกโต งอกงาม ไม่มีที่ไหนเหมือน ส่วนหนึ่งเชื่อว่าน่าจะมาจากสภาพอากาศ และดินที่ดี อีกส่วนคือคนปลูกเองก็ต้องมือเย็นด้วย
นอกจากที่พักแล้ว ที่นี่ยังมีร้านอาหารแนววีแกน ที่ใช้วัตถุดิบจากแปลงผักสวนครัวที่ปลูกไว้เอง รวมไปถึงการรับซื้อวัตถุดิบปลอดสารพิษมาจากเกษตรกรในพื้นที่โดยตรง
ทั้งหมดนี้เป็นที่มาที่ไปของ มาลาดารา แบบคร่าวๆ
พอให้คุณได้เก็ตกับสถานที่ก่อนในเบื้องต้น
ด้วยความที่พลอยมีความผูกพันกับวัฒนธรรมความเชื่อของชนเผ่าทางฝั่งอเมริกาใต้ รวมทั้งเธอเคยเดินทางไปเวิร์กช็อปในกิจกรรมทางจิตวิญญาณที่ประเทศเปรู และ คอสตาริกา ร่วมกับ Sharman (หมอผีหรือตัวกลางทางจิตวิญญาณ) ชาวอเมริกันและชาวอังกฤษ เธอเลยนำความรู้และประสบการณ์ตรงที่ตัวเองเคยได้ไปสัมผัสมาจากศาสตร์ของ Shamanic อันว่าด้วยพิธีกรรมที่มีรากฐานมาจากความเชื่อในเรื่องหมอผี จิตวิญญาณ และการบูชาเทพเจ้า เป็นแนวคิดหลักในการออกแบบเวิร์กช็อปต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นที่มาลาดารา
ทั้งการกินพืชสมุนไพรจากเปรู ซึ่งหมอพื้นบ้านในเปรูจะใช้พืชชนิดนี้รักษาความผิดปกติที่เกิดขึ้นทางจิตของผู้เข้ารับการรักษา เพื่อให้หลุดพ้นจากความกลัว แก้ปมด้อย โรคเครียด และโรคซึมเศร้า
“ก่อนโควิดจะระบาดหนัก เราเคยเชิญ Sharman จากต่างประเทศมาเป็นผู้นำในเวิร์กช็อป ซึ่งกระบวนกรสองท่านนี้เป็นคนที่เราเคยเดินทางไปร่วมเวิร์กช็อปด้วยที่อเมริกาใต้ การเวิร์กช็อปต่อครั้งจะใช้เวลาทั้งหมดสามวัน ตั้งแต่การสูบลาเป้ (Rapé) ยานัตถุ์ที่มีส่วนผสมของยาสูบนิโคตินผสมพืชสมุนไพรอื่นๆ ซึ่งถือเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าทางฝั่งอเมริกาใต้ หลักการของมัน คือเพื่อเคลียร์พลังงานเก่าที่มีอยู่ในตัวสู่การเปิดรับในการสื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยพลังงานที่สะอาด จากนั้นก็เป็นช่วงเวลาของการกินพืชสมุนไพรเปรูเข้าไป
พืชสมุนไพรเปรูชนิดนี้จะพาเราค่อย ๆ กระเทาะกลับเข้าไปในความเป็นตัวตนที่เราอาจหลงลืมมานานแล้ว เดินเข้าไปในห้วงของจิตใต้สำนึก บางคนอาจได้เจอกับภาพตัวเองในอดีตที่เคยวิ่งหนีหรือเป็นช่วงวลาที่เคยมีความสุขมากที่สุด บางคนถึงขั้นระลึกชาติได้ก็มีนะ แต่บอกก่อนว่า เหล่านี้มันเป็นความเชื่อส่วนบุคคล
คือตัวเราเองเป็นคนที่เชื่อในศาสตร์เหล่านี้ เพราะในอดีต เราก็มีปมชีวิตที่แกะไม่ออก ไม่รู้จะจัดการกับมันยังไง เรียงลำดับปัญหาที่สั่งสมอยู่ในตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องแก้อะไรก่อนหลังเพราะมันพัวพันกันไปหมด จนวันหนึ่งเรามีโอกาสได้ไปร่วมพิธีกรรมนี้กับ Sharman ชาวต่างชาติทั้งสองท่าน ที่เกาะพะงัน
พอเราเห็นกระบวนการทำงานของเขา เห็นหลักการทำงานของพืชสมุนไพรเปรูที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของจิต เราว่ามันน่าสนใจดี เพราะเราเป็นคนชอบเรื่องลึกลับอะไรแบบนี้อยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องของศาสตร์ที่มันช่วยยกระดับฟื้นฟูจิตใจคน จากที่พะงัน เราก็เลยขอติดตามเขาไปเวิร์กช็อปที่เปรูและคอสตาริกาด้วย”
ระหว่างฉันนั่งคุยกับพลอย โดยมีเสียงกลองแอฟริกันเจมเบ (Jembe) ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นเสียงซาวด์แทร็กของบทสนทนา ชายร่างบางคนหนึ่งลุกขึ้นเต้นพริ้วไหวไปตามจังหวะของดนตรี แสงแดดอมส้มที่สะท้อนมาจากดวงอาทิตย์ตรงหน้าซึ่งกำลังค่อย ๆ เคลื่อนต่ำลง ทำให้เราเห็นรูปร่างของชายคนนั้นเป็นเพียงเงามืดที่คมชัด
โลกคู่ขนาน คือคำจำกัดความเดียวที่ฉันอธิบายได้กับภาพที่เห็นในตอนนี้
ในวันที่ฉันแวะมาหาพลอยที่มาลาดารา ที่นี่กำลังมีการจัดเวิร์กช็อป Super Natural Retreat ในรูปแบบ Shamanic กับกิจกรรมที่ดำเนินมาเป็นวันที่สองแล้ว กิจกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมดไร้กฏเกณฑ์ด้วยประการทั้งปวง มันคือพิธีกรรมในช่วงเวลาสามวัน โดยมีหัวใจหลักคือการคลี่คลายในปมปัญหาของตัวเอง ผ่านพิธีกรรม การกระโดดโลดเต้นร้องรำทำเพลงเพื่อสื่อสารกับพระแม่ธรณี เทพแห่งธรรมชาติ การใช้สมุนไพรไทยและสมุนไพรจากเปรู สู่การหลุดพ้น และการค้นพบตัวตนที่หายไป ซึ่ง Super Natural Retreat นี้ จะจัดขึ้นทุก 3 -6 เดือน
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจตั้งคำถามคล้าย ๆ กันว่า การจะหลุดพ้นจากความเศร้า ความกลัว หรือการแก้ปมที่ไม่เคยได้รับการสะสาง เพื่อให้ได้ค้นพบอิสระในตัวตนที่แท้จริงนั้น เราจำเป็นต้องใช้เครื่องมือในรูปแบบของพิธีกรรมมากมายขนาดนี้เลยเหรอ แล้วถ้าเป็นการนั่งสมาธิหรือการพาตัวเองไปปฏิธรรม ซึ่งใช้การเคลื่อนไหวน้อยกว่า ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นน้อยกว่า ผลที่ได้จะต่างกันไหม
“เราว่า ปลายทางมันเหมือนกันล่ะ แค่พาหนะและอุปกรณ์ที่ใช้ มันไม่เหมือนกัน ตัวเราเองก็เป็นคนที่มีปมมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนี้เคลียร์ตัวเองจบไปนานแล้วนะ ตอนอายุ 24 เราก็ไปนั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรมเหมือนคนอื่น ที่ไหนเขาว่าดีเราไปทุกที่ เดินจงกลม วันละ 12 ชั่วโมง ก็ทำมาหมดแล้ว ช่วงที่ทำเสร็จใหม่ ๆ มันก็ดีนะ รู้สึกนิ่งขึ้น แต่พอกลับมาบ้าน มาอยู่กับตัวเอง ก็กลับไปเป็นแบบเดิมอีก คุมตัวเองไม่ได้ เพราะมันคือปัญหาชั้นจิตวิญญาณที่อธิบายยากมากๆ จนพอเราแก้ปมตัวเองได้จากการไปร่วมในเวิร์กช็อปของ Sharman ชาวต่างชาติ เราก็เลยศรัทธาในพิธีกรรมทางจิตวิญญาณเหล่านี้ เราไม่ได้บอกว่าทุกคนจะต้องเชื่อในแบบเรา เพราะเรื่องพวกนี้มันขึ้นอยู่กับคนจริง ๆ ถ้าเรามีศรัทธากับสิ่งใด พัฒนาการของชีวิตที่เราได้มาจากสิ่งนั้น ก็จะเกิด”
ฉันนั่งอยู่ที่มาลาดาราจนมืด ดวงดาวเต็มท้องฟ้าใกล้แค่เอื้อม ฉันเงยหน้ามองฟ้าอยู่นาน
ด้วยความเป็นคนกรุงเทพกับยุคโควิด ที่จะขยับร่างกายไปไหนสักทีก็ต้องคิดหน้าคิดหลัง การได้มานั่งอยู่ในพื้นที่โล่งกลางทุ่งนาแบบนี้ เลยทำให้ฉันเพิ่งระลึกได้ว่า นี่ฉันไม่ได้เห็นดาวเต็มฟ้าโดยปราศจากซึ่งกำแพงหน้ากาก แบบนี้ มานานแค่ไหนแล้วนะ
ใครกำลังมองหาทางออกบางอย่างให้กับชีวิต ลองมาแล้วทุกวิธี แต่หายังไงก็หาไม่เจอสักที
ไม่แน่นะ มาลาดารา อาจจะเป็นคำตอบที่ตรงกับคนลักษณะเช่นคุณ