เราเชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักกับ 'โนรา' หรือ 'มโนราห์' ศิลปะการแสดงเก่าแก่ทางภาคใต้ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร แต่การเข้ามาของเทคโนโลยีอาจทำให้การแสดงโนราถูกลดความสำคัญลงไป ALTV จึงขอนำเกร็ดความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับศิลปะการแสดงโนรามาฝากกัน
โนรา หรือ มโนราห์ คือ ศิลปะการแสดงพื้นบ้านอายุเก่าแก่ในภาคใต้ที่เกี่ยวพันกับวิถีชีวิตและความเชื่อของชาวไทยในภาคใต้มาอย่างยาวนาน และแม้ว่าการมาถึงของเทคโนโลยีสมัยใหม่จะส่งผลให้ความสำคัญของการแสดงโนราลดน้อยลงไปบ้าง แต่ปัจจุบันโนรายังคงเป็นที่แพร่หลายในบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งในปี พ.ศ. 2564 UNESCO ได้ประกาศรับรองให้ “โนรา (Nora)” เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ หลังจาก 'โขน' และ 'นวดไทย'
โดยทั่วไปแล้วการแสดงโนราสามารถแบ่งออก ได้ 2 ประเภท ได้แก่ ‘โนราโรงครู’ จะจัดขึ้นเพื่อประกอบพิธีเคารพบูชาและแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ มักจัดแสดงต่อเนื่องกัน 3 วัน 3 คืน อีกประเภทหนึ่่งคือ ‘โนราเพื่อความบันเทิง’ คือมีไว้แสดงเพื่อให้ความบันเทิง สามารถหารับชมได้ใรพื้นที่ภาคใต้ของไทย
ถิ่นกำเนิดโนราไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่นักประวัติศาสตร์คาดการณ์ว่าเริ่มแพร่หลายจากพื้นที่รอบทะเลสาบสงขลา โดยมีรากฐานมาจากพิธีฟ้อนรำบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่ได้แพร่หลายเข้ามาในบริเวณพื้นที่ภาคใต้ของไทยเมื่อนานมาแล้ว ปัจจุบันในประเทศมีคณะโนราอยู่ราว 300 คณะ และพบได้เป็นส่วนมากในพื้นที่ทะเลสาบสงขลา ที่ยังคงมีการสืบทอดศิลปะการแสดงดังกล่าวต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
จุดเด่นของท่าร่ายรำโนราคือ 'ความแข็งแรงที่แฝงด้วยความอ่อนช้อยงดงาม' และ 'ไม่มีรูปแบบตายตัว' ผู้แสดงสามารถปรับเปลี่ยนกระบวนท่าได้อิสระ รวมถึงโชว์ลีลาเฉพาะตัวอย่างการรำแบบพลิกแพลง การทำตัวอ่อนเพื่อแสดงถึงความยืดหยุ่นของร่างกายที่ผ่านการฝึกฝนมานาน แต่ถึงอย่างไรก็ตามการปรับเปลี่ยนท่าร่ายรำมักจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และต้องไม่ผิดเพี้ยนไปจากขนบธรรมเนียมเดิม
โดยทั่วไปแล้วโนรามีท่ารำพื้นฐานที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตทั้งหมด 12 ท่า เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ท่าสิบสอง’ ทั้ง 12 ท่านี้เกิดขึ้นจากตำนานการเกิดโนราที่เล่าขานต่อกันมา ทำให้ท่วงท่ามีความแตกต่างกันไปในแต่ละสำนักที่ได้รับการถ่ายทอดมาไม่เหมือนกัน โดยหลัก ๆ ที่ได้รับการกล่าวถึง คือ ท่ากนก ท่าเครือวัลย์ ท่าเทพนม ท่าพรหมเทวะ พวงมาลัย ท่าช้างประสานงา ฯลฯ ในภายหลังได้มีการประดิษฐ์ท่ารำเพิ่มขึ้นเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้นซึ่งในปัจจุบันมีมากกว่า 80 กระบวนท่า
อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของโนราคงหนีไม่พ้นเครื่องแต่งกาย ที่ทำให้ผู้พบเห็นสามารถระบุได้ทันทีว่าเป็นศิลปะการแสดงจากภาคใต้ มีการกล่าวอ้างว่าเครื่องแต่งกายโนราถูกออกแบบให้มีลักษะคล้าย ‘กินนรี’ บ้างก็ว่ามาจาก 'เครื่องต้นของพระมหากษัตริย์' ในสมัยโบราณ
ตั้งแต่ช่วงบนลงไปมีการตกแต่งลวดลายด้วยลูกปัดหลากสี โดยในชุด 1 ชุดอาจมีลูกปัดมากกว่า 1 หมื่นเม็ด มีการสวมใส่ เทริด (เซิด) เครื่องสวมศีรษะรูปร่างคล้ายชฎา คาดว่ามีต้นกำเนิดมาจากมงกุฏของกษัตริย์ในสมัยโบราณ มีการสวมปีกหางคล้ายนก นิ้วมือประดับด้วยเล็บโลหะสีทองหรือเงินเหมือนนางกินรี นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับอีกมากมาย เช่น ปิ้งคอ ทับทรวง ปีกเหน่ง ปิ้งโพก หน้าเพลา กำไลแขน รวมทั้งสิ้น 14 ชิ้น
เครื่องดนตรีถือเป็นสิ่งสำคัญในการแสดงโนรา โดยเครื่องดนตรีทีใช้บรรเลงเพลงนั้นจะประกอบไปด้วย “เครื่องตี” เป็นส่วนใหญ่ ประกอบด้วย ฉิ่ง โหม่ง กลอง ปี่ และชิ้นสำคัญคือ ทับ (โทน) เครื่องดนตรีพื้นบ้านของภาคใต้ที่สร้างขึ้นไว้บรรเลงเพลงตามงานพิธีและงานรื่นเริงของคนภาคใต้ มีลักษณะคล้ายกลองยาว ขนาดเล็กกะทัดรัด มีความสำคัญในการควบคุมจังหวะและเสริมท่าร่ายรำให้ดีมากขึ้น
บทร้องในการแสดงโนรามีลักษณะเป็นคำกลอนหรือบทกลอน เนื้อหาในบทกลอนที่ขับร้องระหว่างการแสดงจะเป็นภาษาใต้ท้องถิ่น และเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ และหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยผู้ขับร้องจะต้องอวดลีลาการขับบทกลอนด้วยการ ‘ด้นสด’ ได้อย่างรวดเร็วและมีสัมผัสไพเราะ เรียกได้ว่าเป็นเหมือนการประลองไหวพริบของผู้ขับร้อง ซึ่งนอกจากจะเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์แล้วยังสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างดี
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ อาจทำให้เข้าใจแล้วว่า โนรา ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงเพื่อสร้างความบันเทิงเท่านั้น แต่โนรายังเชื่อมโยงเข้ากับภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ควรค่าแก่การสืบสานต่อยอดให้คงอยู่ต่อไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน และไม่สูญหายไปตามกาลเวลา รับชมสาระความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ 'โนราโรงครู' ได้ที่รายการ ก(ล)างเมือง ทางเว็บไซต์ ALTV ช่อง 4 ทีวีเรียนสนุก