ALTV All Around
ALTV News
บทความอื่นจาก Thai PBS
ALTV All Around
ALTV News
บทความ Thai PBS
“ไดโนเสาร์ภูเวียง” ความลับใต้หลุมขุดที่ 3
แชร์
ฟัง
ชอบ
“ไดโนเสาร์ภูเวียง” ความลับใต้หลุมขุดที่ 3
11 มิ.ย. 68 • 17.00 น. | 116 Views
ขนาดอักษร : กลาง
ALTV CI

ไม่ว่าคืนวันภายนอกจะผ่านไปอย่างไร ความเคลื่อนไหวภายใต้อาคารปูนหลังเล็กชั้นเดียว ยังคงเป็นไปตามภารกิจหลักเหมือนทุกวันที่ผ่านมา คือ หาคำตอบว่าใครเป็นเจ้าของ กระดูกชิ้นใหญ่ ที่ถูกฝังอยู่ในหินใต้อาคารนี้มานานกว่า 130 ล้านปี ?

นานกว่า 48 ปี ที่ ดร.วราวุธ สุธีธร หรือ อาจารย์หมู ของลูกศิษย์ในแวดวง นักบรรพชีวินวิทยา เดินขึ้นเขาลงห้วย หุบเขาภูเวียง คอยมองหา ฟอสซิลกระดูกไดโนเสาร์ ที่บางครั้ง ก็เจอง่ายๆ บนพื้นดิน แต่หลายครั้งที่ต้องขุดฝ่าด่านหินแข็งแรง กว่าจะเจอฟอสซิลสภาพดีๆ สักชิ้น

แม้จะใช้เวลามาเกือบค่อนชีวิต ค้นหาและเปิดเผย ความลับของไดโนเสาร์ ใต้หุบเขาภูเวียงมาได้ไม่น้อย แต่ อาจารย์หมู ยืนยันว่า ใต้หุบเขานี้ยังเก็บงำความลึกลับของไดโนเสาร์ไว้อีกมาก และยังรอคอยผู้ค้นพบมัน

จากกระดูกไดโนเสาร์ชิ้นแรก สู่รายงานไดโนเสาร์ฉบับแรกของไทย

อาคารนี้ มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการคือ “หลุมขุดค้นที่ 3 ห้วยประตูตีหมา” อยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูเวียง อ.เวียงเก่า จ.ขอนแก่น อาจารย์หมู เล่าย้อนว่า จุดเริ่มต้นของการขุดค้นฟอสซิลไดโนเสาร์ เกิดขึ้นเมื่อปี 2521 ตอนนั้นอาจารย์หมูเพิ่งเริ่มทำงานที่ฝ่ายสำรวจธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี โดยขณะนั้นกำลังมีโครงการสำรวจจัดทำแผนที่ธรณีวิทยา 1:250,000 ในภาคอีสาน อาจารย์หมูได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้า หน่วยระวางร้อยเอ็ด ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ส่วนหนึ่งของ ขอนแก่น ไปถึง แม่น้ำโขง

“วันนั้นคือ วันที่ 7 ธ.ค. 2521 วันแรกที่ออกเดินทางจาก กทม. ก็แวะที่ภูเวียง มาที่จุดห้วยประตูตีหมา ตอนนั้นเรารู้ว่าบริเวณนี้มียูเรเนียมอยู่ และจากจุดนั้นลงไปในลำห้วย ที่ก่อนหน้านี้เคยมีนักธรณีวิทยาเจอกระดูก 1 ชิ้น ขณะกำลังเก็บตะกอนในลำห้วย กระดูกชิ้นนั้นยาวประมาณ 1 ฟุต ลักษณะเป็นกระดูกหัวเข่าที่ชัดเจน และนั่นคือ กระดูกไดโนเสาร์ชิ้นแรกที่เจอในประเทศไทย

อาจารย์เล่าย้อนว่า เมื่อเจอฟอสซิลไดโนเสาร์ชิ้นแรก ทำให้การสำรวจในครั้งนั้น ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะมีโจทย์เพิ่มคือ ทีมสำรวจต้องค้นหาด้วยว่า ในชั้นหินที่กำลังศึกษาเพื่อขึ้นแผนที่นั้น มีฟอสซิลอะไรอยู่อีกบ้าง เพราะถ้าเจอฟอสซิลที่ยังอยู่ในสภาพดี  ก็จะสามารถเทียบลงไปถึงสปีชีส์ได้ ไม่ว่าจะเป็นไดโนเสาร์ หรือเป็นสัตว์อะไรก็ตาม และจากจุดนั้นก็จะช่วยให้ทราบอายุของมันได้

“ชั้นหินในอีสานส่วนใหญ่สะสมตัวบนแผ่นดินในช่วงอายุเมโสโซอิก (Mesozoic Era) แต่ตอนนั้นยังไม่มีใครในประเทศไทยบอกว่าเรามีไดโนเสาร์ เพราะเรายังไม่เคยเจอมาก่อน รายงานเก่าๆ ที่มีก็เคยเจอร่องรอยนิดหน่อย แต่ครั้งนั้นคือเจอกระดูกหัวเข่าไดโนเสาร์เลย”

หลังจากนั้น นักธรณีวิทยานำกระดูกที่พบไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ที่กรุงเทพ แต่กว่าจะ ความลับของเจ้าของกระดูกจะถูกเปิดเผย ก็ต้องใช้เวลาอีก 1 ปี หลังนักบรรพชีวินจากฝรั่งเศสมาไทย แล้วได้เห็นกระดูกไดโนเสาร์ชิ้นนั้นที่พิพิธภัณฑ์ ก็เกิดความสนใจและขอนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญไดโนเสาร์อีกคนที่ฝรั่งเศสช่วยดู และแม้จะพบว่า กระดูกชิ้นนั้นเป็นกระดูกไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่ ความยาวประมาณ 15 เมตร แต่ยังไม่สามารถระบุสปีชีส์ได้ อย่างไรก็ตาม ผลที่ได้คือ ทำให้เกิด รายงานไดโนเสาร์ฉบับแรกที่เป็นทางการของประเทศไทย

“สยามโมซอรัส สุธีธรนิ” ไดโนเสาร์ชนิดแรกของไทย

จากข้อมูลการค้นพบครั้งแรกของนักธรณีวิทยาก่อนหน้านี้ ทำให้เมื่ออาจารย์หมูและทีมสำรวจได้เริ่มต้นในปี 2521 ทั้งหมดจึงกลับไปที่จุดที่พบกระดูกไดโนเสาร์อีกครั้ง และใช้จุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นการทำงาน อาจารย์ยังจำได้ว่า ตอนนั้นได้เดินย้อนขึ้นไปจนถึงห้วยประตูตีหมา ซึ่งก่อนจะขึ้นไปถึงจะมีน้ำตก จะมีชั้นหินโผล่ขึ้นมา พบว่า เพียงแค่เดินขึ้นไปก็เห็นกระดูกฝังอยู่ในหินแล้ว จึงถ่ายรูปเก็บไว้ ขณะที่ทีมสำรวจแร่ยูเรเนียมที่เก็บข้อมูลในจุดที่อยู่ไม่ไกลกัน ก็บอกว่าเจอฟอสซิลกระดูกด้วย 

ต่อมาปี 2523 พาทีมสำรวจไปที่หนองบัวลำภู ก็เจอกระดูกไดโนเสาร์อยู่ริมทาง 1 ก้อน และเจอกรามจระเข้ 1 ชิ้น แต่ปีนั้น อาจารย์หมูและทีมสำรวจ ยังเข้าภูเวียงไม่ได้ เพราะฝนตกหนัก ทางขาด และถนนที่เข้ามาถึงภูเวียงในขณะนั้น ยังเป็นเพียงทางลากไม้ 

กระทั่งปี 2524 อาจารย์หมูและทีมสำรวจ ได้กลับไปที่ภูเวียงอีกครั้ง แ ละได้ไปดูจุดที่ทีมสำรวจแร่ยูเรเนียมบอกว่าเจออยู่บนยอดเขา พอไปดูก็พบฟอสซิลกระดูก 2 ชิ้น เป็นกระดูกต้นขาหน้าของไดโนเสาร์ซอโรพอด นอกจากนี้ยังพบฟอสซิลฟันอีกหลายชิ้น ยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร เป็นกรวยแหลม 

“เราส่งฟอสซิลฟันให้ผู้เชี่ยวชาญดู บอกว่าชิ้นนี้น่าสนใจ อีก 2 ปี ต่อมาก็กลับมาพร้อมรายงาน แล้วบอกว่า ตรวจสอบแล้ว เป็นฟันของไดโนเสาร์ชนิดหนึ่ง กระทั่งในอีก 2-3 ปีต่อมา ก็ตั้งชื่อว่า สยามโมซอรัส สุธีธรนิ เป็นชนิดแรกของประเทศไทย

ต่อมา ปี 2525 ในบริเวณพื้นที่เดียวกัน ทีมสำรวจยังพบกระดูกอยู่บนยอดเนินอีก 4 ชิ้น เมื่อนำมาวางต่อกัน พบว่า เป็นกระดูกซี่โครงยาวประมาณ 1 ฟุต และเมื่อขุดลงไปในชั้นหินก็พบว่าเป็นกระดูกซี่โครง 2 ซี่ที่ขนานกันอยู่ และยังพบกระดูกอีก 7-8 ชิ้นเรียงลำดับกัน

อาจารย์หมู บอกว่า ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่พบกระดูกจากการขุดลงไปในชั้นหิน เพราะก่อนหน้านี้เป็นลักษณะเจอบนพื้นผิว ซึ่งหากขุดต่อเนื่องก็อาจจะพบมากขึ้น แต่ขณะนั้นทีมสำรวจมีข้อจำกัดทั้งในเรื่องงบประมาณและเครื่องมือในการขุด ที่สำคัญคือ ประสบการณ์​ในการขุดค้นฟอสซิลไดโนเสาร์ที่ทีมสำรวจไม่เคยมีมาก่อน จากจุดนั้น จึงเป็นที่มาที่ทำให้ทีมสำรวจต้องกลับไปฝึกฝนทักษะการขุดค้นฟอสซิลไดโนเสาร์อย่างจริงจัง

และหลังจากได้ฝึกฝนอย่างเต็มที่ ทีมสำรวจก็พร้อมออกภาคสนาม จึงกลับไปที่ห้วยประตูตีหมาอีกครั้งในปี 2530 ตั้งแคมป์ขุดที่ภูเวียง และใช้เวลาขุดหลุมแรกเพียง 15 วัน ก็ได้ตัวอย่างที่เป็นต้นแบบของ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่

ความลับไดโนเสาร์ ยังรอให้ค้นหาที่ “หลุม 3”

แม้ทีมสำรวจจะมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากขึ้น แต่จนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่พอที่จะไขความลับไดโนเสาร์ ที่หลุมขุดค้นที่ 3 ห้วยประตูตีหมา ได้อย่างสมบูรณ์

อาจารย์หมูเล่าย้อนว่า ทีมสำรวจเจอฟอสซิลไดโนเสาร์ถูกฝังอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 2521 ที่เข้ามาในภูเวียงครั้งแรก ลักษณะเป็นกระดูกโผล่มาจากหินแข็ง แต่เนื่องจากตอนนั้นต้องขุดหลุมด้านบนให้เสร็จก่อน จนกระทั่งปี 2532 จึงได้ย้อนกลับลงทำการขุดบริเวณนี้ต่อ แต่พอขุดจนเห็นฟอสซิลกระดูกได้แค่ 4-5 ชิ้น ก็ขุดต่อไม่ไหว เพราะหินแข็งมาก ขณะที่เครื่องมือที่มีตอนนั้นก็ยังสู้ไม่ไหว อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นทีมสำรวจคิดว่า น่าจะเป็นภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ แบบเดียวกับที่เจอก่อนหน้านี้

แม้ไม่ได้ทำการขุดต่อ แต่เพื่อป้องกันฟอสซิลที่มีอยู่ จึงได้ก่อสร้างอาคารครอบหลุมขุดไว้ก่อน (Site Museum) แล้วก็เดินหาชิ้นส่วนในบริเวณอื่นที่พอขุดได้ ก็พบฟอสซิลไดโนเสาร์เพิ่มมาอีก 4 ชนิด รวมเป็น 5 ชนิด จนกระทั่ง 30 ปีต่อมายูเนสโก มีแผนจัดตั้งพื้นที่บริเวณนี้เป็น อุทยานธรณีโลก Geo Park ก็เริ่มมีคำถามว่า เรารู้ชนิดไดโนเสาร์ที่ยังถูกฝังอยู่ใต้หลุม 3 หรือยัง จึงเป็นที่มาของการของบประมาณมาดำเนินการขุดค้นอีกครั้ง 

“ตัวที่อยู่ใต้หลุม 3 เป็น ซอโรพอด เหมือนกัน ซึ่งตอนแรกเราคิดว่า เป็น ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ แต่เมื่อเริ่มขุดต่อเพื่อวิจัยจริงจัง พบว่ามีขนาดใหญ่กว่ากระดูกของภูเวียงโกซอรัส เกือบ 2 เท่า จึงคิดว่าอาจจะไม่ใช่ภูเวียงโกซอรัส พอไปศึกษาว่าสมัยนั้น มีไดโนเสาร์พันธุ์ไหนที่ใหญ่กว่านั้น ก็พบว่าคล้ายกับ แบรคิโอซอรัส มากที่สุด”

เมื่อ “โจทย์” อาจจะตัวใหญ่กว่าที่เคยเจอ การขุดค้นจึงยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น เพราะไม่แน่ว่า อาจจะได้คำตอบ “ใหม่” ที่ “ใหญ่กว่าเดิม”  อาจารย์หมูเล่าย้อนว่า ตั้งแต่เริ่มขุดสำรวจไดโนเสาร์ในภูเวียง เจอไดโนเสาร์แล้ว 5 ชนิด ซึ่งตัวอย่างที่มีอยู่ในมือขณะนี้ รวมทั้งที่กำลังขุดสำรวจในหลุมที่ 3 ทำให้มีความหวังมากขึ้นว่า น่าจะพบไดโนเสาร์ชนิดใหม่อีกอย่างน้อย 2-3 ชนิด

“ในช่วงที่ได้สำรวจที่นี่ มีโอกาสไปสำรวจตามภูต่างๆ ขึ้นไป ก็มีพื้นที่โซนที่เจอกระดูก มันยังยาวต่อเนื่องเข้าไป ตอนนั้นเดินไปแค่ 2 ชั่วโมง เราก็เห็นตัวอย่างที่อยู่บนผิวดิน มีโอกาสที่เราจะเจอได้อีกมาก เพราะฉะนั้นยังมีพื้นที่ๆ เราจะได้ตัวอย่างมาทำการวิจัย มีโอกาสที่เราจะเจอตัวอย่างดีๆ และมีออกมาต่อเนื่อง” 

แม้ตอนนี้ ทีมขุดค้นยังไม่สามารถฝ่าหินแข็งลงไปทำความรู้จักกับ เพื่อนใหม่ เจ้าตัวยักษ์จากยุคดึกดำบรรพ์ แต่ตราบใดที่ พลังความต้องการเรียนรู้ ยังไม่เลือนหาย และยังอาจส่งต่อให้คนรุ่นต่อไปได้ สักวัน เราคงได้เจอกัน 


หมายเหตุ : ถอดความจาก เสวนา ผลักดันขอนแก่นจีโอปาร์ค สู่..อุทยานธรณีโลกของยูเนสโก แห่งที่ 3 ของไทย วันที่ 2 พฤษภาคม 2568

ผู้เขียนบทความ
avatar
กองบรรณาธิการ ALTV
ALTV CI
ข่าว ALTV
ข่าว ALTV
ALTV News
ผู้เขียนบทความ
avatar
กองบรรณาธิการ ALTV
แชร์
ฟัง
ชอบ
ติดตามเรา