สัตว์ขั้วโลกเหนือตัวบิ้กเบิ้มอย่าง “เจ้าวอลรัส” ดูเหมือนจะต้านทานความหนาวได้ดีเป็นพิเศษเพราะมันมีอุณภูมิภายในร่างกายสูงถึง 36.6 °C อีกทั้งยังเสริมความอบอุ่นด้วย “ชั้นไขมันที่หนา 10 - 15 ซม.” ซึ่งทำหน้าที่เสมือนแบตเตอร์รีสำรองช่วยกักเก็บพลังงานไว้ใช้ในช่วงฤดูหนาว โดยที่วอลรัสสามารถลั้ลลาในอากาศเย็นติดลบถึง -35 °C
เวลาที่วอลรัสอยู่ในน้ำเย็น ร่างกายของมันจะสูญเสียความร้อนได้เร็วกว่าปกติถึง 27 เท่า ระบบหลอดเลือดที่ผิวหนังจึงหดตัวเพื่อลดการระบายความร้อนออกสู่ภายนอก ทำให้ผิวหนังของวอลรัสดูขาวซีด แต่ก็ช่วยให้ร่างกายอุ่นกว่าน้ำประมาณ 1 ถึง 3 °C และเมื่อร่างกายเริ่มอุ่นขึ้น ความร้อนที่แผ่ไปทั่วทั้งตัวจะทำให้สีผิวของมัน “อมชมพู” ดูสุขภาพดี
แม้วอลรัสจะตัวหนาท้าลมหนาวได้ดีขนาดนี้ แต่ก็ยังแสวงหาความอบอุ่นจากวอลรัสตัวอื่น โดยที่พวกมันจะนอนเบียดกันในฝูงเพื่อถ่ายเทความร้อนในร่างกายซึ่งกันและกัน และกักเก็บความอบอุ่บไว้ให้ได้มากที่สุด
หลายคนอาจเคยเห็นในสารคดีที่มีการยืนชุมนุมของเหล่าเพนกวิน นี่ไม่ใช่การแสดงอำนาจ! แต่เป็นการเกาะกลุ่มกันไว้เพื่อความอบอุ่นต่างหาก เพนกวินราชา ก็เช่นกัน พวกมันมักไปไหนมาไหนเป็นแก้งค์และอยู่รวมกันเป็นฝูง ซึ่งอาจประกอบด้วยเพนกวินหลายพันตัว ในช่วงที่เพนกวินบางตัวผลัดขน ตัวอื่นก็จะคอยเป็นเกราะป้องกันความหนาวให้ การยืดเบียดกันให้ได้มากที่สุดนั้นช่วยรักษาความอบอุ่นและอุณภูมิในร่างกายได้ดีมาก
เมื่อฤดูผสมพันธุ์มาถึงเพนกวินราชาจะไม่ทำรัง แต่พวกมันจะแบกไข่ไว้บนเท้าตลอดเวลา ขณะที่ตัวเมียออกทะเลเพื่อหาอาหาร “ตัวผู้” จะต้องทนความหนาวเย็นที่เลวร้ายที่สุดเพื่อดูแลไข่เป็นเวลาหลายสัปดาห์ โดยอาจเอาตีนเข้ามาซุกไว้ใกล้ตัวซึ่งจะช่วยลดการสูญเสียความร้อน และอาจเขย่าตัวบ่อย ๆ เพื่อสร้างความอบอุ่นในร่างกาย
นักสำรวจในยุคแรกๆ บางคนคิดว่าลูกนกเพนกวินราชาเป็นเพนกวินสายพันธุ์อื่น เพราะขนของพวกมันมีสีน้ำตาลซึ่งดูแตกต่างจากพ่อแม่มาก - ที่มา : Liam Quinn
50 - 60 วันให้หลังไข่จะฟักเป็นตัว ลูกน้อยจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย พ่อแม่เพนกวินยังต้องผลัดกันเลี้ยงดูและทำให้อบอุ่น ต่อมาลูกเพนกวินจะต้องเรียนรู้วิธีการเอาชีวิตรอดด้วยตัวเอง เริ่มจากการเข้าร่วมกับลูกเพนกวินตัวอื่นในกลุ่มตัวเองที่เรียกว่า “สถานอนุบาลเด็ก” (crèche) พวกเด็ก ๆ จะแลกเปลี่ยนความความอบอุ่นซึ่งกันและกัน รวมทั้งป้องกันการถูกแยกเดี่ยวจากผู้ล่า
ที่มา : Liam Quinn
นอกจากการพฤติกรรมการยืนเบียดเสียดกัน ปัจจัยที่ทำให้เพนกวินสามารถทนความหนาวและรักษาอุณภูมิของร่างกายให้อุ่นขึ้น เช่น
สุนัขจิ้งจอกอาร์กติก หนึ่งใน “สุนัขจิ้งจอกที่ตัวเล็กที่สุด” มีขนาดพอ ๆ กับแมวบ้านหรือสุนัขขนาดเล็ก พวกมันอาศัยอยู่ทั่วเขต “ทุนดราและอัลไพน์ในซีกโลกเหนือ” พื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ไม่มีต้นไม้ ลมแรง อากาศติดลบ -50°C จัดว่าเป็นดินแดนที่มี “สภาพอากาศเลวร้ายที่สุดในโลก” ซึ่งการมีรูปร่างเล็ก กระทัดรัด ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตบนพื้นที่เหล่านี้แม้แต่นิดเดียว เพราะธรรมชาติได้มอบ “ขนเฟอร์” ที่ทั้งยาวและหนานุ่มเพื่อเอาตัวรอดในอุณหภูมิที่เย็นจัดได้อย่างสบาย
ขนสีขาวราวกับหิมะของสุนัขจิ้งจอกอาร์ติกนี้ ทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อน จากอากาศภายนอก ช่วยรักษาอุณหภูมิร่างกายให้พวกมันอุ่นสบายที่ประมาณ 40°C นอกจากนี้ “ขนที่อุ้งเท้า” ยังมีประโยชน์มากในการซับเสียงของฝีเท้าให้ “เงียบ” บวกกับสีขาวของขนที่กลมกลืนไปกับหิมะ ช่วยในการพลางตัวได้เป็นอย่างดีเยี่ยม
ในทางกลับกัน เมื่อถึงช่วงฤดูร้อนอากาศจะเริ่มอุ่นขึ้นและหิมะละลายหายไป เสื้อคลุมขนเฟอร์สีขาวจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้ม บางและสั้น เพื่อต้อนรับฤดูร้อนแบบใหม่โดยมีสีตั้งแต่สีน้ำตาลอมฟ้า ไปจนถึงสีน้ำตาลอมเทา สีเทา หรือสีทูโทน
สุนัขจิ้งจอกอาร์ติกเอาหางพันรอบตัวขณะนอนหลับเพื่อสร้างความอบอุ่น - ที่มา worldatlas.com
หากสุนัขจิ้งจอกไม่สามารถหาอาหารได้ หรืออยู่ในสภาพอากาศที่เลวร้ายสุด ๆ พวกมัน “ไม่จำศีล” เหมือนกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป แต่จะใช้กลวิธี “ขุดถ้ำหิมะ” และขดตัวรอเหยื่อในนั้นเพื่อประหยัดพลังงาน ชะลออัตราการเต้นของหัวใจและระบบเผาผลาญ ซึ่งจะช่วยให้พวกมันอดอาหารอยู่ได้สักประมาณ 2 - 3 วันต่อครั้ง บางตัวอาจรอเหยื่อได้นานถึง 2 สัปดาห์
ที่มา : Royal Ontario Museum
Rana sylvatica รู้จักกันในชื่อ “กบไม้” กบเป็นสัตว์เลือดเย็นและบอบบาง พบได้ทั่วไปในแถบอเมริกาเหนือ สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกชนิดนี้มีวิธีรับมือในอากาศที่เย็นจัดได้อย่างคาดไม่ถึง คือ “การแปลงร่างเป็นน้ำแข็ง” เมื่ออากาศเริ่มเย็นลง กบไม้จะซ่อนตัวอยู่ใต้เศษใบไม้ในป่าเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหนังแห้ง จากนั้นน้ำจำนวน 2 ใน 3 ในร่างกายของมันจะค่อย ๆ เปลี่ยนสภาพกลายเป็นน้ำแข็งในที่สุด “กบไม้แช่แข็ง” สามารถหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้นได้ ซึ่งจะทำให้พวกมันมีชีวิตอยู่รอดได้นานหลายสัปดาห์ตลอดฤดูหนาว
โดยธรรมชาติแล้ว เมื่อน้ำกลายเป็นน้ำแข็งโครงสร้างผลึกสามารถแตกและทำให้เซลล์ขาดน้ำได้ แต่สำหรับเจ้ากบไม้สิ่งนี้เรียกว่า “การจำศีล” โดยตับของมันจะปั่น “น้ำตาลกลูโคส” แหล่งพลังงานชั้นดีออกมากว่าปกติ 100 เท่า และส่งเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายทำให้จุดเยือกแข็งลดลง นอกจากนี้ยังกักเก็บปัสสาวะเพิ่มระดับของยูเรียซึ่งเป็นสารป้องกันความเย็นชั้นเยี่ยม จนในที่สุด หัวใจของกบไม้ก็จะค่อย ๆ เต้นช้าลง ช้าลง จนหยุดนิ่ง ไม่หายใจ ไม่มีการทำงานของสมอง “กลายเป็นกบไม้ที่ตัวแข็งแต่ยังมีชีวิต”
ที่มา : thesciencewriter.org
เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ อากาศเริ่มอุ่นขึ้น กบไม้จะค่อย ๆ ละลายจากภายในสู่ภายนอก ไม่นานนักหัวใจของพวกมันจะกลับมาเต้นอีกครั้ง อวัยวะทุกส่วนจะเริ่มทำงานตามปกติ หลังจากละลายไปประมาณ 30 นาที ในขณะที่สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกตัวอื่นยังคงหลับใหลอยู่ใต้ดินหรือใต้บ่อน้ำที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง กบไม้จะเริ่มผสมพันธุ์ในแอ่งน้ำเย็นที่มีน้ำแข็งละลาย
เหตุผลที่การถูกแช่แข็งไม่สร้างความเสียหายใด ๆ ให้กบไม้เลย เป็นเพราะว่าผลึกน้ำแข็งที่กระจายทั่วร่างกายของมันเติบโตแค่บริเวณเยื่อหุ้มภายนอกเซลล์เท่านั้น หลังจากที่ตัวมันละลายการทำงานของสมอง หรือการเคลื่อนไหวจึงกลับมาทำงานได้อย่างสมบูรณ์
🐵ปิดท้ายด้วยด้วยความน่ารักของสัตว์ในดินแดนหิมะอย่าง "เจ้าลิงหิมะ" ถึงแม้ว่าพวกมันจะไม่อยู่ขั้วโลกเหนือ แต่วิธีรับมือกับความหนาวก็ทำให้มนุษย์อย่างเราฟินไปตามกัน
ในช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิบน “เกาะฮนชู” ในประเทศญี่ปุ่นจะลดลงจนเป็นน้ำแข็ง ลิงแสมญี่ปุ่น หรือ ลิงหิมะ มีวิธีรับมือกับอากาศหนาวที่ไม่เหมือนใคร คือ การแช่ในบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ (onsen) พวกมันจะใช้เวลาทั้งวันอย่างผ่อนคลาย งีบหลับ และดูแลขนให้กันและกัน โดยนักวิจัยมหาวิทยาลัยเกียวโตในญี่ปุ่นค้นพบว่า พฤติการรมการแช่น้ำร้อนสามารถช่วยต่อต้านความเครียดจากสภาพอากาศหนาวเย็นของพวกมันได้
วิวัฒนาการทำให้ลิงชนิดนี้มี “รูปร่างใหญ่กว่าลิงทั่วไป” มีขนหนา 2 ชั้น หางสั้น เพื่อรักษาความอบอุ่นและป้องกันการโดนหิมะกัด พวกมันจึงสามารถอาศัยอยู่ในพื้นที่อุณหภูมิต่ำได้ถึง -20°C
ลิงหิมะญี่ปุ่น เป็นลิงพื้นเมืองที่พบได้ตามภูมิภาคต่าง ๆ ของญี่ปุ่น โดยเฉพาะทางตอนเหนือที่หนาวเย็น อย่าง “สวนลิงจิโกคุดานิ” (Jigokudani Monkey Park) ในจังหวัด Nagano นักท่องเที่ยวทั่วโลกจะแห่กันไปดูฝูงลิงที่กำลังฟินกับการแช่น้ำพุร้อน ช่วงเวลาที่แสนผ่อนคลายในบ่อออนเซ็น พวกมันจะหน้าแดงและเคลิ้มหลับไม่ต่างจากมนุษย์ แม้ร่างกายส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยขน แต่มือและเท้ายังคงสัมผัสถึงอากาศที่หนาวเย็นได้ ดังนั้น พวกมันจึงถูมือและเท้าเป็นครั้งคราวเวลาเดินบนหิมะ
พฤติกรรมที่น่าสนใจระหว่างการแช่น้ำพุร้อนของลิงหิมะเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงลักษณะทางสังคมที่คล้ายคลึงกับมนุษย์อย่างมาก พวกมันชอบที่จะตกแต่งขนและถูตัวกันหลังจากที่ขึ้นจากน้ำ ขณะแช่ตัวในน้ำบางตัวก็วางแขนขอบบ่อ และสื่อสารกันโดยเปล่งเสียงต่าง ๆ ราวกับว่ากำลังคุยเรื่องสำคัญ
เคล็ดลับในการจัดการกับความหนาวเย็น หิมะ และการขาดแคลนอาหาร ของสัตว์ในฤดูหนาว อาจสรุปได้ ดังนี้
ขอบคุณแหล่งข้อมูล : patourlogy.com, seaworld.org, facts.net, coolantarctica.com