สภาพอากาศที่แปรปรวนมักเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านของฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูร้อน และในบางครั้งหลายพื้นที่คงได้พบเจอกับสภาพอากาศที่แปรปรวนสุดแปลกที่เกิดขึ้นในวันเดียวกัน ทั้งอากาศเย็นในช่วงเช้า อากาศร้อนช่วงกลางวัน และบางครั้งอาจจะเกิดฝนฟ้าคะนองลมกระโชกแรง ทำให้เกิดลูกเห็บจำนวนมากตกลงมา และสร้างความเสียหายในหลายพื้นที่ วันนี้ ALTV ขอเสิร์ฟเรื่องรอบรู้เกี่ยวกับ “พายุลูกเห็บ” กับวิธีรับมือเมื่อเกิดขึ้นในบ้านเรา
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า “ลูกเห็บ” หรือ Hail มันคือ เม็ดฝนที่ตกลงมาในลักษณะที่เป็นก้อนน้ำแข็ง มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-50 มิลลิเมตร ขนาด 0.2 – 2 นิ้ว โดยการน้ำกลายเป็นน้ำแข็งนั้นเกิดจากมวลอากาศร้อนที่ลอยตัวสูงขึ้น และพัดพาเม็ดฝนลอยขึ้นไปปะทะกับมวลอากาศเย็นด้านบนที่สูงจากชั้นบรรยากาศขึ้นไปอีก มักเกิดขึ้นในเมฆที่ชื่อว่า “คิวมูโลนิมบัส” หรือ cumulonimbus clouds จากนั้นเมื่อเกิดการควบแน่นเม็ดฝนจะจับตัวเป็นก้อนน้ำแข็ง และตกลงมาปะทะกับมวลอากาศร้อน ทำให้ความชื้นจะเข้าไปห่อหุ้มเม็ดน้ำแข็งให้มีขนาดที่เพิ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเกินกว่าที่กระแสลมพายุจะพยุงเอาไว้ได้ มันจะตกลงมาจากอากาศลงสู่พื้นดินนั่นเอง และเมื่อเราหยิบก้อนน้ำแข็งที่พึ่งตกพื้นมาผ่าครึ่ง จะเห็นว่าภายในน้ำแข็งจะเป็นวงแต่ละชั้นจนก่อตัวมาเป็นลูกเห็บ
โดยส่วนใหญ่แล้วพายุลูกเห็บมักจะเกิดในช่วงที่มีพายุฝนฟ้าคะนองในช่วงฤดูร้อน หรือ พายุฤดูร้อน ประมาณช่วงเดือนมีนาคม และเดือนเมษายน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นยาวนานไปจนถึงช่วงก่อนเข้าฤดูฝนเลยก็ว่าได้ ซึ่งทุกคนสามารถติดตามข่าวสาร และเฝ้าระวังความเสี่ยงจากการเกิดพายุได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา โดยขึ้นอยู่กลับสภาพอากาศที่แปรปรวนในช่วงเวลานั้น ๆ และสาเหตุการเกิดพายุอาจเกิดขึ้นมาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การทรงตัวของอากาศต้องเป็นแบบไม่เสถียรภาพ อากาศยกตัวขึ้นในแนวดิ่ง และอากาศมีความชื้นค่อนข้างสูง ซึ่งในประเทศไทยของเรานั้น มักจะเกิดขึ้นบ่อยที่สุดใน ภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นที่ดอยช้าง อ.แม่สรวย จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2551 สาเหตุที่เกิดพายุลูกเห็บที่รุนแรงนี้ขึ้น เพราะว่าเกิดจากความกดอากาศสูงที่เข้ามาปกคลุมประเทศไทยปะทะกับมวลอากาศร้อนชื้นที่บริเวณภาคเหนือ ในขณะเดียวกันได้เกิดลมพัดเวียนเข้าสู่กลาง หรือ Cyclonic Vortex ลมจากใต้ และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดผ่าน ประกอบกับกระแสลมทางตะวันตกเคลื่อนผ่านภาคเหนือ ทำให้อากาศเกิดการยกตัวจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองอย่างรุนแรง และเกิดลูกเห็บตกเป็นจำนวนมาก ทำให้พื้นที่ทำกินของชาวบ้านกว่า 6,000 ไร่ เสียหายเป็นจำนวนมาก
และในเดือนเมษายนปี 2566 ได้เกิดเหตุการณ์ฝนฟ้าคะนองท่ามกลางฤดูร้อน ทำเอาชาวเมืองอึ้งไปตาม ๆ กันกับพายุลูกเห็บถล่มกลางกรุงเทพมหานครในหลายพื้นที่ นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดไม่บ่อยมากนักที่ลูกเห็บจะตกในภาคกลาง เรียกได้ว่านาน ๆ ทีหลายปีหนก็ว่าได้ และคนส่วนใหญ่ก็เอ่ยปากเป็นเสียงเดียวกันว่า “เป็นครั้งแรกที่ได้เห็น และสัมผัสกับพายุลูกเห็บที่ตกในกทม.” สาเหตุอาจมาจากสภาพอากาศของกรุงเทพฯ มีความร้อนสะสมสูง ชนิดที่ว่าร้อนอบอ้าว ร้อนจนแสบผิว เนื่องจากการจราจรที่แออัด โรงงานต่าง ๆ ที่เผาพลาญความร้อนสูง รวมกับทิศทางลมกระโชกแรง ทำให้เกิดความเสียหาย และในบางที่มีน้ำขังรอการระบาย ส่งผลให้จราจรบนท้องถนนติดชงักถึงแม้จะตกลงมาเพียงไม่นาน
นอกจากเรื่องราวธรรมชาติสุดแปลกที่ลูกเห็บจะตกในกรุงเทพมหานครแล้ว ยังมีอีกหลายประเทศในโซนเขตร้อนจัด ที่อยู่ท่ามกลางทะเลทรายแต่ก็ยังเกิดพายุลูกเห็บได้ โดยในปี 2558 เกิดเหตุการณ์กระแสลูกเห็บพัดผ่านทะเลทราย หลังจากที่มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้พายุลูกเห็บได้ซัดถล่มในหลายประเทศเช่น อิรัก และภูมิภาคตะวันออกกลาง ได้แก่ อียิปต์ อิสราเอล ซาอุดิอาระเบีย และจอร์แดน สาเหตุมาจากสภาพอากาศที่มีฝนตกหนักติดต่อกันตลอดวัน รวมถึงระบบโครงสร้างที่เสื่อมโทรมจากเหตุความรุนแรงในประเทศด้วยเช่นกัน
และในปี 2559 หนึ่งในประเทศที่มีสภาพอากาศร้อนที่สุดในโลกอย่างประเทศคูเวต เกิดพายุลูกเห็บตกท่ามกลางฤดูหนาวจัดในรอบ 15 ปี ทำเอาบรรดาเด็ก ๆ ในประเทศคูเวตต่างตื่นตาตื่นใจ และตะลึงไปกับเหตุการณ์ในสภาพอากาศที่หายากมากสำหรับในประเทศเขตร้อนแห่งนี้ ซึ่งสาเหตุเกิดจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำเอาเหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาคาดเอาว่าหลายพื้นที่สิ่งมีชีวิตอาจไม่สามารถอยู่ในได้ในอนาคต เพราะสภาพภูมิอากาศที่ร้อนจัด หรือที่เราคุ้นหูกันนั่นก็คือภาวะโลกร้อนนั่นเอง
แม้ว่าพายุลูกเห็บอาจจะเกิดขึ้นน้อยครั้ง ตกไม่นาน น้ำหนักเบา หรือมีขนาดก้อนเล็กก็ตาม แต่สำหรับที่เมือง คอฟฟีย์วิลล์ (Coffeyville) รัฐแคนซัส (Kansas) สหรัฐอเมริกา มีสถิติที่ลูกเห็บหนักที่สุดในโลก เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2513 ซึ่งมีน้ำหนักมากถึง 770 กรัม มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่ 14.5 เซนติเมตร แต่ไม่ใช่ขนาดที่ทำลายสถิติที่ใหญ่ที่สุดไปได้ เพราะลูกเห็บที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนั้นตกที่เมือง ออโรรา (Aurora) รัฐเนแบรสกา สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2546 ซึ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 17.8 เซนติเมตร และหากว่าตกใส่ร่างกายโดยเฉพาะหัวก็อาจจะทำให้ได้รับการบาดเจ็บ มากไปกว่านั้นอาจเสี่ยงถึงชีวิตเลยก็ว่าได้ แต่อย่างไรก็ตามน้ำหนักของลูกเห็บมีมวลน้อยกว่าที่เมืองคอฟฟีย์วิลล์ อาจเป็นเพราะว่ามีลูกเห็บบางส่วนหลุดแตกระหว่างตกกระทบบ้านเรือนในชุมชน
อย่างไรก็ตามเมื่อหลายพื้นที่เกิดพายุลูกเห็บ มักมีกลุ่มคนจำนวนมากที่รู้สึกตื่นตาตื่นใจ สนุกสนาน และคงจะเป็นความรู้สึกเดียวกับเราที่ได้สัมผัสกับเมืองหิมะ บ้างก็หยิบมาลองชิม บ้างก็หยิบมาใช้แทนน้ำแข็งผสมกับน้ำชนิดต่าง ๆ เช่นเดียวกับความเชื่อผิด ๆ ของคนไทยที่ว่า “กินลูกเห็บจะช่วยป้องกันการเจ็บป่วย” แต่ความจริงแล้วไม่ควรเก็บมากินเป็นอันขาด ในทางวิทยาศาสตร์ได้ย้ำว่ามีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคที่อยู่พื้นดิน ท้องถนน รวมไปถึงเชื้อโรคที่ปนเปื้อนในชั้นบรรยากาศ และยิ่งในปัจจุบันค่าฝุ่น PM 2.5 ค่อนข้างสูงอย่างมาก ทำให้ผู้ที่เก็บลูกเห็บมากินอาจเกิดโรคอุจจาระร่วงอย่างรุนแรงได้ เพราะฉะนั้นเมื่อเจอลูกเห็บตกไม่ควรเก็บมากิน และควรหาวิธีรับมือไว้ให้ดีที่สุด
เมื่อทุกคนตกอยู่ในท่ามกลางสถานการณ์พายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง หรือแม้แต่การเกิดพายุลูกเห็บก็ตาม ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่เสี่ยงภัยและอันตราย โดยเฉพาะเมื่อพายุลูกเห็บตก เพียงก้อนน้ำแข็งที่ตกลงมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง จึงควรปฏิบัติตามวิธีแนะนำ เพื่อลดการเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน และลดการบาดเจ็บต่อตัวเราและคนรอบข้างได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าตกอยู่ในท่ามกลางสถานการณ์ใด ALTV เตรียมพร้อมค้นคว้าหาข้อมูลมาเสิร์ฟให้ทุกคนผ่านข่าวสารบนเว็บไซต์ ALTV ช่อง 4 ทีวีเรียนสนุก (คลิกเลย)
อ้างอิง Wikipedia, Thairath, TrueID, PPTV, โรงเรียนเซนต์ปอลคอนแวนต์