นับว่าเป็นการเลือกตั้งครั้งสำคัญในการเตรียมตัวกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบ เพราะเป็นการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องกาบัตรเพียงใบเดียว เพื่อเลือกทั้งคนและพรรคในเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจเป็นการสร้างความสับสนให้กับประชาชน รวมไปถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกอีกด้วย แต่ในครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งกาบัตร ❌2 ใบแยกระหว่างคนและพรรค โดยให้จำสโลแกนที่ว่า “เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ” ซึ่งนอกจากจะไม่เกิดความสับสนแล้ว ยังเป็นการเลือกตั้งที่เข้าใจง่ายสำหรับใครหลายคน ซึ่งอาจนำไปสู่การทำให้ประชาชนลุกออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันมากขึ้นได้นั่นเอง และประชากรในประเทศไทยจะมีผลต่อการเลือกตั้งในครั้งนี้อย่างไร ชวนวิเคราะห์ต่อว่าเจเนอเรชันใดจะชี้ขาดผลการเลือกตั้งได้อย่างชัดเจน
จากการสำรวจ สถิติประชากรทางทะเบียนราษฎร (รายเดือน) สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง จำนวนประชากรคนไทยในปัจจุบัน พบว่าในประเทศไทยมีจำนวนประชากรทั้งหมดกว่า 66,073,904 คน โดยแบ่งเป็นประชากรชายจำนวน 32,255,409 คน และประชากรหญิงจำนวน 33,818,495 คน ซึ่งหากแบ่งตามจำนวนประชากรไทยที่มีรายชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน พบว่า เป็นผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปที่มีสิทธิเลือกตั้งอยู่ที่จำนวน 52,322,824 คน โดยสามารถแยกเป็นกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก หรือที่เรียกว่า “First Voter” จำนวน 4,012,803 คน คิดเป็นร้อยละ 7.67 และกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นผู้สูงอายุ จำนวน 14,378,037 คน คิดเป็นร้อยละ 27.48 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด แต่เมื่อแยกตามช่วงอายุจะสามารถแบ่ง ออกเป็นแต่ละเจเนอเรชันได้ดังนี้
กลุ่ม Generation Z เป็นกลุ่มคนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ.2540 – 2555 มีอายุตั้งแต่ 11 – 26 ปี แต่สำหรับการเลือกตั้งจะนับเฉพาะในช่วงอายุ 18-26 ปี ซึ่งมีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งอยู่ที่ 7,670,354 ส่วนใหญ่แล้วกลุ่มคนเจเนอเรชันนี้จะถูกเรียกว่าเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีหัวคิดใหม่ ๆ ไม่ซ้ำใคร มักเกิดมาพร้อมกับความทันสมัยและความสะดวกสบาย เพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีทุกรูปแบบทั้งมือถือ แท็บเล็ต โน้ตบุ๊ก ไอแพด เป็นต้น เรียกได้ว่าครบครันในทุก ๆ ด้าน ดังนั้นการศึกษาค้นคว้า หรือการรับข่าวสารต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องที่ง่ายดายสำหรับคนกลุ่มนี้ เพราะมีช่องทางให้เลือกรับข้อมูลมากมาย มีพฤติกรรมที่สามารถตัดสินใจทำอะไรได้อย่างรวดเร็ว เปิดกว้างทางความคิด มีความสร้างสรรค์ มีวัฒนธรรมและความเชื่อที่แตกต่าง เป็นคนกล้าแสดงออก มีความมั่นใจสูง ชอบทำงานหลาย ๆ อย่างไปพร้อมกัน รวมไปถึงกล้าได้กล้าเสียที่จะลองทำสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิต
ดังนั้นในช่วงการเลือกตั้งกลุ่มคนเหล่านี้จะเป็นฐานเสียงสำคัญ ที่เราเรียกว่า “New Voter” หรือผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกนั่นเอง ซึ่งทัศนคติในทางการเมืองเป็นกลุ่มคนที่มีความชัดเจน ยืนหยัด รักในเสรีภาพและความถูกต้อง มักมีแนวโน้มไปทางเสรีนิยมมากว่าอนุรักษนิยม พร้อมที่จะสนับสนุนนโยบายของพรรคการเมืองที่สอดคล้องกับแนวคิด และตอบโจทย์กับวิถีชีวิตของกลุ่มคนรุ่นใหม่ เช่นประเด็นในเรื่องของสิทธิเสรีภาพ และค่าแรงในปัจจุบัน ดังนั้นผู้ที่ลงสมัครแต่ละพรรคการเมือง หากมีความชัดเจนกับกลุ่มคนเหล่านี้ก็อาจจะทำให้ได้คะแนนเสียงที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
กลุ่ม Generation Y เป็นกลุ่มคนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ.2524 – 2539 มีอายุตั้งแต่ 27 – 42 ปี ซึ่งมีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากเป็นอันดับ 2 อยู่ที่ 15,144,468 คน เป็นวัยที่ผ่านเหตุการณ์สำคัญมาหลายอย่าง ทำให้มีทัศนคติในการมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ และมักจะให้ความสำคัญกับเรื่องส่วนร่วมเป็นพิเศษ มีความรับผิดชอบต่อสังคม ชอบแก้ไขปัญหาด้วยการระดมสมอง ค้นคว้าหาแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ รวมถึงปรึกษาหารือระหว่างเพื่อนสนิทและกลุ่มคนรอบตัว แต่สำหรับการเลือกตั้ง หรือประเด็นทางการเมือง เป็นเรื่องที่คาดเดายากว่าคนกลุ่มนี้จะเลือกพรรคใด แต่ส่วนใหญ่จะให้ความสนใจในเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง สวัสดิการ และการศึกษาของลูกหลาน เพราะเป็นวัยที่ต้องแบกรับภาระหนักอึ้งของครอบครัว
ดังนั้นหากพรรคการเมืองใดที่มีนโยบายที่แก้ไขปัญหาเหล่านี้ของประชาชนได้ จะมีแนวโน้มที่กลุ่มคนในเจเนอเรชันนี้จะตัดสินใจเลือก และเทคะแนนให้มากที่สุดนั่นเอง
กลุ่ม Generation X เป็นกลุ่มคนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ.2508 – 2523 มีอายุตั้งแต่ 43 – 58 ปี ซึ่งมีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากที่สุดเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 16,091,150 คน เรียกได้ว่าเป็นฐานเสียงที่จะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะชี้ทิศทางผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ เพราะเป็นฐานเสียง โดยคนกลุ่มนี้มักจะมีทัศนคติและพฤติกรรมคล้าย ๆ กับคน Gen Y ในบางส่วน รวมถึงผ่านเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ มาหลายเหตุการณ์ หลายรูปแบบ เรียกว่าเป็นวัยที่เป็นพ่อและแม่ของเด็กรุ่นใหม่ ในการทางการเมืองจึงเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากมาก ๆ ว่าคนกลุ่มเหล่านี้มีความสนใจที่จะเลือกตั้งพรรคการเมืองใด นับว่าเป็นกลุ่ม Swing Voters ที่ให้ความสนใจกับการเมืองน้อยกว่ากลุ่มอื่น ๆ เพราะเป็นกลุ่มที่เติบโตมาพร้อมกับการพัฒนาประเทศ การมีประชาธิปไตยที่ไม่มีเสถียรภาพและไม่มีประสิทธิภาพ การมีประชาธิปไตยแบบเบ็ดเสร็จแต่เต็มไปด้วยปัญหามากมาย
ดังนั้นกลุ่มคนเหล่านี้จึงได้สัมผัสรัฐบาลไทยมากหลากหลายรูปแบบ การเลือกตั้งในครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก และถ้าหากพรรคไหนที่มีนโยบายที่ชัดเจนในทุกด้าน ที่ตอบโจทย์กลุ่มคนทำงาน เศรษฐกิจ และความสวัสดิการของคนกลุ่มวัยเกษียณ รวมถึงสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้าง และแก้ไขรากเหง้าของปัญหาได้จริง คาดว่ามีสิทธิที่จะได้ใจของกลุ่มคนเหล่านี้ไปเต็ม ๆ
กลุ่ม Baby Boomer เป็นกลุ่มคนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ.2489 – 2507 มีอายุตั้งแต่ 59 – 77 ปี มีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นอันดับ 3 อยู่ที่ 11,153,133 คน ซึ่งคนวัยนี้ถือว่าเป็นผู้สูงอายุเสมือนเป็นรุ่นคุณปู่ ย่า ตา ยาย ของเด็กรุ่นใหม่ที่มีภูมิหลังจากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ทางการเมืองและสังคมมามากมาย จึงมีวิธีการแก้ไขปัญหา การเอาตัวรอด และการใช้ชีวิตมาเป็นอย่างดี หรือที่เราคุ้นชินกับคำว่า ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน นั่นเอง แต่สำหรับการเมืองการเลือกตั้งนั้นมักจะมีแนวโน้มไปทางอนุรักษ์นิยม หรือมีพรรคในใจที่ต้องการเลือกอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีนโยบายใด ๆ เสนอเข้ามาก็มีสิทธิเปลี่ยนแปลงได้แค่ค่อนข้างยาก ยิ่งในปัจจุบันสังคมไทยกำลังจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุแล้วนั้น การที่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองจะกรอบโกยคะแนนเสียงจากกลุ่มนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ยิ่งหากว่ามีนโยบายที่สนองความต้องการได้ เช่น เรื่องบำนาญของประชาชน เพิ่มเงินผู้สูงอายุ ลอตเตอรี่ หรือนโยบายที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุมีความหวังในช่วงบั้นปลายชีวิตก็จะยิ่งมีโอกาสได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้นได้นั่นเอง
กลุ่ม Silent Gen เป็นกลุ่มคนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ.2468 – 2488 มีอายุตั้งแต่ 78 – 98 ปี มีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งอยู่ที่ 2,227,540 คน คนกลุ่มนี้มักจะภูมิหลัง ประสบการณ์ และทัศนคติทางการเมืองคล้าย ๆ กับกลุ่ม Baby Boomer แต่ในขณะเดียวกันกลุ่มคนเหล่านี้มักจะมีปัญหาและอุปสรรคในการเดินทางออกไปใช้สิทธิ การรับรู้ข่าวสาร และการเข้าถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ ซึ่งนอกจากวิทยุ โทรทัศน์แล้วนั้น ต้องมีลูกหลานที่ใกล้ชิดคอยให้คำแนะนำ และชักชวนพาไปเลือกตั้งในที่สุด
ขอมัดรวมทั้ง 2 กลุ่มนี้ไว้ด้วยกันเพราะเป็นกลุ่มของคนวัยชราที่มีอายุมากกว่า 99 ปีขึ้นไป ซึ่งมีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งน้อยที่สุดนั่นเอง มีเพียง 36,179 คน โดยในกลุ่ม Greatest Generation เป็นคนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ.2453 – 2467 มีอายุตั้งแต่ 99 – 113 ปี และกลุ่ม Lost Generation เป็นคนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ.2433 – 2458 มีอายุตั้งแต่ 108 – 133 ปี เรียกได้ว่าผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านมรสุมของชีวิตและสังคมทางการเมืองมาหลายสมัย แม้ว่ากลุ่มคนทั้ง 2 เจเนอเรชันนี้จะมีจำนวนน้อยที่สุด แต่ก็ยังมีบางกลุ่มที่มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ยังสามารถเดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ได้ให้ความสำคัญกับกลุ่มคนเหล่านี้ ตามมาตรา 92 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 ที่บัญญัติให้ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง จัดให้มีการอำนวยความสะดวกสำหรับการออกเสียงลงคะแนนของกลุ่มคนพิการ หรือทุพพลภาพ หรือผู้สูงอายุไว้เป็นพิเศษนั่นเอง ดังนั้นคะแนนเสียงของกลุ่มคนเหล่านี้ยังสามารถเป็นแรงผลักดันเปลี่ยนแปลงประเทศได้เช่นกัน
14 พฤษภาคม 2566 ขอเชิญชวนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง หรือสามารถติดตามการเลือกตั้ง 66 ในครั้งนี้ผ่านทางเว็บไซต์ของไทยพีบีเอส www.thaipbs.or.th/Election66 (คลิก)
อ้างอิงที่มา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI), Thai PBS, Matichon, BBC, Popticles