กลับมาอีกครั้งสำหรับวัน April fool's days วันแห่งการโกหกระดับโลก ที่แม้แต่ประเทศไทยเองก็ไม่พลาดที่จะเล่นไปกับเขาด้วย ในวันนี้ ALTV จึงถือโอกาสพาเพื่อน ๆ ไปไขความจริงเรื่องราวลวงโลกที่มี "คำโกหก" เป็นเหตุ พร้อมกับเรียนรู้แง่คิดจากเรื่องราวโกหกไปพร้อม ๆ กัน จะมีเรื่องอะไรบ้าง ไปดูกันเลย!
ไม่ว่าใครก็คงไม่ชอบถูกโกหกใช่ไหมล่ะ? แต่สำหรับวันนี้คงต้องทำใจหน่อยนะ เพราะวันที่ 1 เมษายนของทุกปี ถือเป็นวันโกหกแห่งชาติหรือที่เรียกว่า "เมษาหน้าโง่" วันที่อนุญาตให้ผู้คนโกหกกันได้โดยไม่ถือโทษโกรธกัน ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างรอยยิ้มและความสนุกสนาน ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมที่ปฎิบัติกันมาในหลายประเทศทั่วโลก
ที่มาของวันเมษาหน้าโง่นั้นมีหลายทฤษฎี ที่โด่งดังที่สุดมาจากการการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ในยุคกลาง ที่เดิมจะจัดขึ้นในวันที่ 25 มีนาคม - 1 เมษายน แต่ต่อมาได้มีการเริ่มต้นใช้ปฏิทินเกรกอเรี่ยน และเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ เป็นวันที่ 1 มกราคมของทุกปีแทน ผู้คนบางส่วนที่ยังไม่ทราบข่าว จึงยังคงฉลองปีใหม่กันในวันที่ 1 เมษายนตามเดิม คนเหล่านี้จึงถูกเรียกในเชิงหยอกล้อว่า "พวกเมษาหน้าโง่” นั่นเอง
แม้ว่าในวันนี้เราจะโกหกกันได้ แต่ขอบเขตหรือความพอดีก็เป็นสิ่งสำคัญ คำโกหกไม่ควรสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น หรือเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย เพราะนอกจากจะไม่สนุก ไม่ฮาแล้วยังพาเครียดไปอีก
“โอ๊ยย จะเครียดไปทำไม ขนาดไอน์สไตน์ยังตกเลขเลย” วลีปลอบใจที่ใครหลายคนได้ยินผ่านหูมาบ้างนี้ มีต้นตอมาจากความเชื่อที่ว่า "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" นักฟิสิกข์ผู้ยิ่งใหญ่เจ้าของสมการ E=mc² ที่สั่นสะเทือนทั้งวงการฟิสิกส์ เคยสอบตกวิชาคณิตศาสตร์สมัยเรียนประถม!
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีข่าวลือเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กของไอน์สไตน์ผู้นี้ว่า เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มสมองทึบ ที่ค่อยมาฉลาดเอาตอนโต แถมยังบกพร่องด้านทักษะการสื่อสารตั้งแต่เด็ก จากการป่วยด้วยโรค “Dyslexia” (โรคความบกพร่องในการอ่านเขียนและสะกดคำ) อีกด้วย
จริงหรือ ?
ประเด็นแรกคำกล่าวอ้างที่ว่าป่วยด้วยโรค Dyslexia ถือว่าไม่มีมูลมากพอ และถูกหักล้างด้วยข้อมูลจาก Ronald W. Clark และ Abraham Pais ผู้เขียนหนังสือชีวประวัติของไอน์สไตน์ "1971 EINSTEIN The Life & Times" พวกเขาสืบทราบจากครอบครัวไอน์สไตน์มาว่า ช่วงแรกเด็กชาย อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์พูดได้ช้ากว่าเด็กทั่วไปจริง แต่เมื่ออายุย่างเข้า 2-3 ขวบ เขาก็สามารถสื่อสารได้เต็มประโยค ในขณะเดียวกัน "ฮันส์ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" ลูกชายแท้ ๆ เคยบอกไว้ว่า พ่อของเขาเป็นคนไม่ชอบเข้าสังคม รักสันโดษ และเลือกที่จะอยู่เงียบ ๆ มากว่าการพูดคุยกับคนอื่น
ในช่วงชีวิตหนึ่งไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า “The monotony and solitude of a quiet life stimulates the creative mind.” แปลได้ว่า "ความซ้ำซากจำเจ และความโดดเดี่ยวของชีวิตที่เงียบสงบ ช่วยปลุกความคิดสร้างสรรค์" สะท้อนให้เห็นว่าวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และการมีพื้นที่เพื่อสงบจิตใจสำคัญกับไอน์สไตน์ผู้นี้มากขนาดไหน
ประเด็นข่าวลือเรื่องตกคณิตศาสตร์ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าไอน์สไตน์รักสันโดษมาก เขาจึงไม่ค่อยถูกกับกิจกรรมในโรงเรียน เรียกได้ว่าไม่ใช่เด็กกิจกรรมนั่นแหละ เมื่ออายุได้ 15 ปี เขาจึงตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน และพยายามสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยในซูริก
แน่นอนว่าในวิชาคณิตศาสตร์เขาทำได้ดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เป็นวิชาด้านภาษา สัตววิทยา และพฤกษศาสตร์ต่างหากที่เขาทำได้ไม่ดีนัก ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยในครั้งแรก และเป็นจุดเริ่มต้นของความเชื่อผิด ๆ ว่าเขาตกเลข จากคำบอกเล่าปากต่อปาก การพูดเกินจริง หรือความจริงเพียงครึ่งเดียว
ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจประการสุดท้าย เมื่อทาง "The nobel prize" ได้เปิดเผยใบเกรดของไอน์สไตน์ช่วงที่เขาอายุได้ 17 ปี ซึ่งเห็นได้ว่าเขาทำได้ดีในวิชาคณิตศาสตร์ตั้งแต่เด็ก ด้วยเกรด 6 ซึ่งเป็นเกรดสูงสุดทั้งในวิชาพีชคณิต เรขาคณิตเชิงพรรณา และฟิสิกส์ รวมถึงหมวดวิชาวิทยาศาสตร์อีกด้วย
ใบเกรดของไอน์สไตน์ ที่มา: The nobel prize
“It’s not that I’m so smart, it’s just that I stay with problems longer.”
ไม่ใช่ว่าผมฉลาด ผมเพียงแต่อยู่กับปัญหานานกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง"
อาจไม่สำคัญว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จะเคยสอบตกเลข หรือพูดไม่เก่งมาก่อน อันที่จริงเขาเองก็ไม่เคยพูดว่าตัวเองฉลาดไปซะทุกเรื่อง แม้ว่าโลกต่างยกย่องเขาให้เป็นยอดอัจฉริยะก็ตาม
องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เขาค้นพบ อาจเกิดขึ้นไม่ได้หากอาศัยเพียงแค่ความปราดเปรื่องทางสติปัญญา แต่ส่วนหนึ่งมาจากความเพียรพยายาม เรียนรู้อยู่กับปัญหา การลองผิดลองถูก รู้จักหาวิธีคิดแก้ไขบ่อย ๆ และไม่หยุดมองหาทางออก ซึ่งบางครั้งอาจนำพาเราไปพบกับทางออกที่มีมากกว่า 1 และย่อมทำให้คุณเก่งขึ้นในทุก ๆ วันแบบไม่ต้องเกิดมาอัจฉริยะเลยก็ได้
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
ยังคงเป็นคำโกหกที่โลกต้องจดจำเมื่อ "แอนนา แอนเดอร์สัน" หญิงสาวชาวโปแลนด์ได้อ้างว่า เธอคือแกรนด์ดัชเชสอนาสตาเซียแห่งราชวงศ์โรมานอฟ ที่รอดพ้นจากการสังหารหมู่อันโหดเหี้ยมในปี ค.ศ. 1918
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 17 ก.ค. 1918 พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และครอบครัว ได้ถูกลอบสังหารโดยกลุ่มบอลเชวิกในช่วงการปฏิวัติรัสเซีย ทุกพระองค์สิ้นพระชนม์ทันทีจากการประหารด้วยการกราดยิง โดย “เจ้าฟ้าหญิงอนาสตาเซีย” สิ้นพระชนม์เป็นองค์สุดท้าย เนื่องจากในฉลองพระองค์ได้ซุกซ่อนเพชรพลอยจำนวนมาก ซึ่งสามารถป้องกันเนื้อตัวจากกระสุนปืนได้ในทีแรก แต่ท้ายที่สุดพระองค์ก็ถูกยิงซ้ำเป็นครั้งที่สอง และสิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมา
แต่เพราะไม่ได้สิ้นใจตามครอบครัวในทันที จึงเกิดประเด็นถกเถียงในหมู่ชาวเมืองเยคาเตรินเบิร์กว่า หรือเจ้าหญิงอนาสตาเซียจะสามารถรอดจากการสังหารครั้งนั้นไปได้? ข่าวลือแพร่สะพัดไปปากต่อปาก จนทางการได้รับรายงานหลายต่อหลายครั้งถึงการพบเห็นเจ้าหญิงอนาสตาเซียผู้หายสาปสูญ รวม ๆ แล้วมากกว่า 100 ครั้ง และ 1 ในนั้นคือ เคสของ “แอนนา แอนเดอร์สัน” ที่มีผู้รายงานว่าเธอมีหน้าตาคล้ายกับ 1 ในราชวงศ์โรมานอฟที่ถูกสังหาร
ในปี ค.ศ. 1920 “แอนนา แอนเดอร์สัน” ถูกตำรวจเยอรมันคุมตัวหลังพยายามกระโดดลงไปในคลองแลนด์เวห์ สภาพเนื้อตัวของเธอเต็มไปด้วยบาดแผล มีท่าทีเหม่อลอยนิ่งเงียบ และปฏิเสธการเปิดเผยตัวตนกับตำรวจ ด้วยเหตุผลที่ว่า “หากบอกว่าตัวตนที่แท้จริงเป็นใคร เธออาจจะตายได้” แอนนาจึงได้ไปลงเอยที่โรงพยาบาลจิตเวชตดัลดอร์ฟ ในฐานะ “Madam Unknon” หรือ “หญิงสาวนิรนาม”
ด้วยที่มาอันลึกลับประกอบกับการพูดภาษาเยอรมันด้วยสำเนียง “รัซเซีย” ก็ยิ่งทำให้คนรอบข้างคลางแคลงใจว่า หรือแท้จริงแล้ว แอนนาจะเป็นหนึ่งในเจ้าฟ้าหญิงราชวงศ์โรมานอฟ เพราะดูไปดูมาก็มีหน้าตาแอบคล้ายรูปภาพตามที่หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวไว้ ส่วนทางด้านของแอนนาก็ไม่ได้แม้แต่จะปฏิเสธ หรือยอมรับเวลาผู้คนถามเธอตรง ๆ ถึงความเกี่ยวข้องระหว่างราชวงศ์โรมานอฟเลย กลับกันเธอกลับกันเธอมองไปที่ภาพเหล่าราชวงศ์บนหน้งสือพิมพ์แล้วพูดขึ้นว่า "คุณไม่เห็นความคล้ายคลึงระหว่างเราสองคนหรือ?"
เท่านั้นแหละ ข่าวลือหนาหูว่ามีผู้พบเห็นหญิงสาวที่น่าจะเป็นพระธิดาองค์ของซาร์นิโคลัสที่ 2 หลบซ่อนอยู่ภายในโรงพยาบาลดัลดอร์ฟก็เกิดขึ้น บุคคลที่เคยถวายการรับใช้ราชวงศ์โรมานอฟมาก่อน ต่างเข้ามาที่โรงพยาบาลเพื่อพิสูจน์ข่าวลือนี้ และพวกกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าแอนนา ไม่ใช่แกรนด์ดัชเชสทาเทียร์น่า เพราะเธอ ”เตี้ยเกินไป” ในส่วนของแอนนาที่ไม่อะไรกับใครมาตลอด อยู่ ๆ ก็เอ่ยปากขึ้นมาว่า “ใครบอกว่าฉันคือทาร์เทียร์น่า ฉันคืออนาสตาเซีย”
ประกอบกับการค้นพบโครงกระดูกของเหล่าราชวงศ์ในอุโมงค์เหมือง ห่างจากเมืองออกไปราว 20 กิโลเมตร และหนึ่งในนั้นไม่พบโครงกระดูกของเจ้าฟ้าหญิงอนาสตาเซีย ก็ยิ่งทําให้คำพูดของแอนนามีน้ำหนักมากขึ้น จนถึงขั้นว่ามีการทุ่มเงินสนับสนุนให้กับนิติเวชเพื่อพิสูจน์ใบหูของแอนนา ว่าตรงกับเจ้าฟ้าหญิงอนาสตาเซียหรือไม่ ซึ่งก็เป็นที่น่าแปลกใจว่าผลออกมาตรงกับเจ้าฟ้าหญิงอนาสตาเซียซะงั้น
เรื่องราวของแอนนา แอนเดอร์สัน โด่งดังมากในสมัยนั้น เหล่าเชื้อพระวงศ์บางส่วนที่เชื่อสนิทใจว่าเธอคือเจ้าฟ้าหญิงอนาสตาเซีย ต่างพากันเข้ามาเยี่ยมเยียนเธออยู่บ่อยครั้ง และถึงกับพาเธอเข้าไปรู้จักกับสังคมชนชั้นสูง พาไปงานเลี้ยงสังสรรค์มากมาย เรียกได้ว่าแทบจะใช้ชีวิตแบบเจ้าหญิงเลยก็ว่าได้ จนที่สุดท้ายเธอได้พบรักกับชายหนุ่มคนรัก และย้ายไปตั้งครอบครัวที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
แต่หลังจากเสียชีวิตของแอนนาในปี ค.ศ. 1984 การทดสอบดีเอ็นเอจากเส้นผมและเนื้อเยื่อของเธอพิสูจน์ให้เห็นว่าแอนเดอร์สันหลอกลวงคนทั้งโลก เพราะไม่มีความตรงกันกับใครในเชื้อพระวงศ์เลย แต่ดันไปตรงกับครอบครัวหนึ่งที่เคยแจ้งว่าลูกสาวหายตัวออกจากบ้าน
ภายหลังรัสเซียก็ได้ยืนยันว่าพบโครงกระดูกของพระราชวงศ์ครบแล้ว โดยรวม 11 ศพ คือ สมาชิกราชวงศ์โรมานอฟเจ็ดพระองค์ แพทย์และคนรับใช้สามคน โดยพระศพของเจ้าฟ้าหญิงอนาสตาเซีย และ อเล็กซี ถูกเผาทำลาย และราดซ้ำด้วยน้ำกรด และฝังแยกอยู่คนละที่กับสมาชิกองค์อื่น ๆ จึงทำให้ในครั้งแรกไม่พบโครงกระดูกของอนาสตาเซียในอุโมงค์เหมือง
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์มีน้ำหนักมากพอที่จะหักล้างคำกล่าวอ้างของแอนนาได้ทันที และจนถึงตอนนี้เราไม่มีทางล่วงรู้เจตนาของการโกหกของเธอ และไม่ว่าจะเป็นเรื่องโกหกหรือข้อเท็จจริง ราคาที่แอนนาต้องจ่ายคือการที่เธอจากโลกนี้ไปโดยที่ไม่ได้มีโอกาสกลับมาแก้ต่าง และยังถูกตราหน้าว่าเป็นนักต้มตุ๋นไปเสียแล้ว เรื่องราวของแอนนา ยังคงเน้นย้ำคติสอนใจที่ว่า "ความจริงเป็นเป็นสิ่งไม่ตาย" สุดท้ายแล้วไม่ว่าช้าหรือเร็ว ความจริงจะต้องถูกเปิดเผยเข้าสักวันหนึ่ง
เมื่อคำโกหกหลอกลวงกลายเป็นกลยุทธ์ศึก ที่ทำให้กองทัพกรีกที่อ่อนกำลังพลิกกลับมาเอาชนะสงครามแห่งกรุงทรอยได้ นำมาซึ่งการล่มสลายของเมืองที่แสนมั่งคั่งในอดีต
ม้าโทรจันแห่งศึกกรุงทรอย เป็นเรื่องราวที่บันทึกอยู่ในมหากาพย์อีเลียต ของกวีนามว่า “โฮเมอร์” โดยเรื่องราวเริ่มต้นเมื่อเจ้าชายแห่งเมืองทรอย 2 พระองค์ได้เดินทางไปเจริญไมตรีกับ “เมเนลอส” เจ้าเมืองสปาร์ตาแห่งกรีก แต่ทว่า “ปารีส” หนึ่งในเจ้าชายเมืองทรอย ดันไปถูกตาต้องใจกับมเหสีของเมเนลอส และทำการลักพาตัวกลับมายังเมืองทรอยด้วย เมื่อเรื่องถึงหูเจ้าเมืองสปาร์ตา ด้วยความโกรธแค้นที่ถูกหยามเกียรติ เมเนลอสจึงระดมพลเข้าบุกตีเมืองทรอย กลายเป็นจุดชนวนสงครามแห่งกรุงทรอยที่กินเวลาถึง 9 ปี
อุปสรรคของกองทัพกรีกคือกำแพงสูงของเมืองทรอยที่ยากจะทะลวงผ่านไปได้ ทหารกองทัพกรีกที่ต่อสู้มายาวนานต่างเหนื่อยล้า และมีจำนวนมากที่ล้มตาย ซึ่งนำแม่ทัพศึกอย่าง “โอดิซุส” มาถึงจุดขีดสุดแบบที่ต้องดับเครื่องชน เขาจึงคิดอุบายในการสร้างม้าไม้ขนาดยักษ์ ที่ภายในติดตั้งประตูกล สำหรับให้ทหารฝีมือดีรวมถึงโอดิซุส และเมเนลอส เข้าไปหลบซ่อนด้านในของลำตัวม้าได้
เมื่อม้าไม้เสร็จสิ้นดีแล้ว โอดิซุสได้สั่งให้ไพร่พลเผาค่ายที่ตั้งอยู่รอบกำแพงเมืองทรอยทิ้ง ทำทีแสร้งว่ายอมแพ้ และยกทัพกลับกรีกไปแล้ว โดยไม่ลืมที่จะทิ้ง “ซีนอน” ไว้หน้าประตูกำแพงเมืองทำหน้าที่เป็นเชลยที่ถูกทอดทิ้ง เมื่อชาวเมืองทรอยที่มองออกมาเห็นว่าไม่เหลือทหารกรีกหลงเหลืออยู่แล้ว มีแต่ม้ายักษ์ไม้ตั้งอยู่ จึงออกมาดู และพบเข้ากับซีนอนที่อ้างว่าเป็นโดนทอดทิ้งจากกองทัพที่หนีกลับไป เหลือทิ้งไว้เพียงม้ายักษ์ที่ชาวกรีกทำไว้มอบให้แก่เมืองทรอย เพราะเป็นสัญลักษณ์ของเทพโพไซดอนที่ชาวกรีกนับถือ หากนำไปบูชาจะโชคดี
ชาวเมืองทรอยที่อ่อนล้าจากการสู้รบมานาน เกิดชะล่าใจ นำม้ายักษ์เข้าไปยังใจกลางเมือง และได้ทำการเฉลิมฉลองกันยิ่งใหญ่ กลไกลของม้ายักษ์ก็เริ่มทำหน้าที่ของมัน โดยการพาเหล่าทหารกรีกออกมาสังหารผู้คน ทำให้ในศึกครั้งนั้นชาวเมืองทรอยถูกสังหารเกือบหมด ส่วนหนึ่งถูกไปเป็นทาสที่เมืองกรีก
นักวิชาการหลายคนตั้งข้อสันนิษฐานว่าว่าศึกกรุงทรอยนั้นเกิดขึ้นจริง และการมีอยู่ของเมืองทรอยก็มีอยู่จริง เพราะได้ค้นพบซากของเมืองบริเวณ ฮิซาร์ลิก ในเมืองคานัคเกล ทางตะวันตกของประเทศตุรกี แต่สำหรับม้าโทรจันนั้น อาจเป็นอะไรก็ได้ที่สามารถบรรจุคนลงไปได้ บางคนคาดเดาว่าม้าอาจเป็นแค่เครื่องปิดล้อมประกอบขึ้นจากไม้แล้วหุ้มด้วยหนังม้าเพื่อกันไฟเท่านั้น
อีกทฤษฎีหนึ่งอ้างว่าเป็นเพราะแผ่นดินไหวที่ทำลายกำแพงเมืองทรอย จึงทำให้ชาวกรีกคิดว่าเป็นอภินิหารของเทพเจ้าโพไซดอน ที่เป็นทั้งเทพเจ้าแห่งมหาสมุทร เทพเจ้าแห่งม้าและแผ่นดินไหว ดังนั้นบางทีคนในสมัยโบราณอาจจะรวมความคิดนี้เข้าด้วยกัน และมหากวีอย่างโฮเมอร์ ก็เอาไปเสริมเติมแต่งให้ดูน่าตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น
ไม่ว่าคุณจะเลือกเชื่อเรื่องราวเวอร์ชันใด คำว่า "ม้าโทรจัน" ก็ยังคงถูกใช้มาจนถึงทุกวันนี้ ในสำนวนที่เปรียบเทียบถึง การแทรกซึมจนสามารถโค่นล้มได้จากภายใน และเรื่องนี้ได้สะท้อนให้เราเห็นว่า "คำโกหก" เป็นสิ่งที่ปะปนอยู่ในชีวิตประจำวันของคนเราแทบจะเลี่ยงไม่ได้ บางครั้งมันก็มาในรูปแบบของคำพูดสวยหรูล่อตาล่อใจ ราวกับม้ายักษ์โทรจันที่ทำให้เมืองทรอยต้องพลาดพลั้ง เพราะฉะนั้นก่อนการตัดสินใจรับหรือปฏิเสธอะไรก็ตาม การใช้ปัญญาและสติคิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน ก็ยังคงเป็นสิ่งที่เราไม่ควรละเลย
เรื่องโกหกลวงโลกที่ฟังดูแล้วเหมือนเป็นเรื่องโจ๊กขำ ๆ นี้ ไม่ได้ขำอย่างที่คิด เพราะมีคนจำนวนมากหลงเชื่อมากว่าที่คิด จนถึงรัฐบาลประเทศมาเลเซียออกมายอมรับว่ามีหลายคนที่ไม่รับวัคซีนจากเรื่องโกหกนี้ และทวีตเตือนบนโซเชียลมีเดียว่าอย่าหลงเชื่อ!
ข่าวลือเรื่องซอมบี้มากจากไหน ?
กระแสข่าวลือเรื่องวัคซีนเปลี่ยนคนเป็นซอมบี้ที่โด่งดังมากที่สุด เริ่มจากเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2564 เว็บไซต์ USA today รายงานเกี่ยวกับข่าวลือที่ถูกแชร์บนโลกโชเชียล หลังจากที่ชายคนหนึ่งนามว่า “อับดุล อาลิม มูฮัมหมัด” แสดงความคิดเห็นผ่านวิดีโอไลฟ์ของตนว่า “วัคซีนโควิด-19 หรือ mRNA จะทำให้ทุกคนกลายเป็นซอมบี้” วิดีโอได้รับความสนใจไปกว่า 10,000 ครั้ง
“COVID-19 mRNA นั้นเป็นจะทำให้ร่างกายผลิต "โปรตีนจากไวรัส (โควิด-19) เดียวกันกับตัวที่ทำให้คุณป่วย และหลังจากที่คุณได้รับมันในครั้งที่ 2 3 4 ร่างกายจะกลายเป็นโรงเพาะไวรัส ท้ายที่สุดจะกลายเป็นซอมบี้ ในมูฮัมหมัดยังอ้างว่าข้อมูลเขา ได้รับการสนับสนุนจากเว็บไซต์ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา ที่ได้ออก "คู่มือรับมือซอมบี้ (Zombie reparedness)" ที่เผยแพร่โดย ศูนยควบคุมและป้องกันโรคของประเทศสหรัฐอเมริกา (CDC) ไปเมื่อเดือนมีนาคม 2564
แน่นอนว่ากลายเป็นกระแสถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดในโลกออนไลน์ และแม้จะมีหลายคนชี้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ในแง่หลักการทางวิทยาศาสตร์ คนบางส่วนก็ยังคงเชื่อว่าวัคซีนอาจทำให้กลายเป็นซอมบี้ได้ เรื่องราวขยายไปวงกว้างโดยเฉพาะในกลุ่มต่อต้านวัคซีน (Anti-vaxxers) ที่ถือโอกาสใช้กระแสนี้ส่งต่อข้อมูลผิด ๆ เกี่ยวกับวัคซีนบนโลกออนไลน์ บ้างก็เอามาอ้างอิงกับภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง I AM THE LEGEND ที่นำแสดงโดย วิล สมิธ เมื่อปี 2550 ในเชิงเปรียบเทียบว่าคนที่ไม่รับวัคซีนจะเป็นผู้รอดจากการกลายพันธุ์ ซึ่งคิดเป็น 1% ของโลก
หลายคนอาจมองว่าเป็นแค่เรื่องโจ๊กกันขำ ๆ แต่ทว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่หลงเชื่อทฤษฎีดังกล่าว จนกระทรวงสาธารณสุขของมาเลเซีย เผยว่า ในจำนวนผู้ที่ไม่ยอมรับวัคซีน ส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อที่ว่าจะกลายร่างเป็นซอมบี้ จนทางกระทรวงฯ ถึงกับต้องออกมาทวีตข้อความปฏิเสธข่าวลือดังกล่าวในทวิตเตอร์ "การอ้างว่าบุคคลที่ได้รับวัคซันจะกลายเป็นซอมบี้นั้นไม่เป็นความจริง"
ในขณะเดียวกันหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทม์ยังได้รายงานข่าวเกี่ยวกับเจ้าของร้านแว่นแห่งหนึ่ง ที่ต้องเจอกับปัญหาลูกจ้างไม่ยอมฉีดวัคซีนโควิด-19 เพราะไม่อยากเป็นเหมือนซอมบี้ในหนังเรื่อง I Am Legend
เป็นความจริงที่ว่าเมื่อเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ได้ออกมาตรการรับมือซอมบี้ออกมาจริง แต่! ถ้าหากลองเข้าไปอ่านอย่างถี่ถ้วนแล้วคู่มือนี้ครอบคลุมถึงการรับมือภัยธรรมชาติต่าง ๆ ซึ่งเป็นคำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินจริงไม่ว่าจะเป็น พายุเฮอริเคน แผ่นดินไหว หรือน้ำท่วม
ทางบล็อกโพสต์ของ CDC ก็ได้ออกมาโพสต์ว่า ความคิดริเริ่มของแคมเปญ Zombie Preparedness เริ่มต้นขึ้นในปี 2011 ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในการเข้าถึงผู้ชม และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการเตรียมพร้อมรับมือกับอันตรายกับเหตุฉุกเฉิน เรียกง่าย ๆ ว่าหยิบเรื่องซอมบี้มาเพื่อดึงดูดสาธารณชนให้เข้ามาอ่านนั่นเอง อาจจะเป็นวิธีการทุบหัวเข้าบ้านไม่สักหน่อย แต่ CDC กล่าวต่ออีกว่าคุณจะไม่เสียใจที่คลิกเข้าอ่านแน่นอน เพราะท้ายที่สุดมันเป็นประโยชน์กับตัวคุณเองนะ!
เมื่อใคร ๆ ต่างก็เป็นสื่อได้เพียงแค่มีสมาร์ตโฟนในมือ การมีทักษะการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) รู้จักตรวจสอบ วิเคราะห์ แยกแยะอย่างมีวิจารณญาณก่อนตัดสินใจเชื่อ หรือกดแชร์ เป็นเรื่องสำคัญ เพราะในบางครั้งไม่ใช่แค่ผลกระทบต่อตัวเราเพียงเท่านั้น แต่อาจส่งผลกระทบไปยังวงกว้างต่อสังคม เกินกว่าที่เราจะรับผิดชอบก็เป็นได้
ที่มา: Ripleys Smithsonian Magazine USA today Manila Bulletin Howstuffwork