การแสดงความรัก และมิตรภาพที่ดีต่อกันด้วยการสัมผัสแบบการจูบหรือการหอมนั้น นอกจากจะให้ความรู้สึกที่ดีแล้ว ยังสามารถให้ประโยชน์ต่อสุขภาพที่ดีของเราได้อีกด้วย วันนี้ ALTV จะพาไปหาคำตอบว่าการสัมผัสด้วยวิธีการเหล่านี้ จะมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไปอย่างไรบ้าง
ช่วยลดความเครียด เพราะร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขหลายชนิด เช่น เอนดอร์ฟิน (Endorphins) ออกซิโทซิน (Oxytocin) และ โดพามีน (Dopamine) ออกมาและไปลดฮอร์โมนคอร์ติคอล (Cortisol) ได้ ซึ่งเป็นการช่วยลดความเครียดในทางอ้อมได้ดี
เผาผลาญแคลอรี่ การ Kiss 1 นาที ก็สามารถช่วยให้เราเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้ถึง 26 แคลอรี่
ป้องกันฟันพุ เอมไซม์จะช่วยเคลือบฟัน และกำจัดแบคทีเรียออกจากฟันได้ ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดคราบหินปูน และมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับการบ้วนปาก
บรรเทาอาการปวด เมื่อเกิดการกระตุ้นให้ร่างกายได้หลั่งสารเอนดอร์ฟิน (Endorphins) และสารเคมีต่าง ๆ ที่ช่วยทำให้เรารู้สึกดี และสามารถช่วยระงับอาการเจ็บปวดได้ ซึ่งอาจมีประสิทธิภาพมากกว่ามอร์ฟีน (Morphine) ด้วยซ้ำ
ช่วยลดความดันโลหิต เพราะหลอดเลือดขยายตัว ทำให้ค่าความดันโลหิตลดลง ซึ่งช่วยป้องกันภาวะการเกิดความดันโลหิตสูง และส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจ รวมถึงหลอดเลือดด้วยเช่นกัน
เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการติดเชื้อไซโตเมกาโลไวรัส (Cytomegalovirus) ซึ่งเป็นไวรัสที่ทำให้ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอเกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้ และยังช่วยลดอาการแพ้จากโรคผื่นต่าง ๆ ได้อีกด้วย เช่น ภูมิแพ้ผิวหนัง โรคผิวหนังอักเสบ และโรคจมูกอักเสบ
โรคไวรัสตับอักเสบ บี สามารถติดต่อกันผ่านทางเลือด แต่ทางหากว่ามีแผลในปาก น้ำลายก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้
โรคหูด ปกติแล้วโรคนี้จะเกิดขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศ แต่ก็สามารถเกิดไก้ที่ขึ้นบริเวณปาก และสามารถติดต่อกันได้จากการ Kiss
โรคเริม เกิดจากเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus) ที่จะส่งผ่านจากการสัมผัสของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำลาย
โรคหวัด หากมีอาการป่วย ก็สามารถแพร่เชื้อโรคต่าง ๆ ให้กันและกันได้ง่าย
แม้การ Kiss จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพที่ดีอยู่หลายข้อ แต่ก็ยังข้อควรระวัง และมีความเสี่ยงต่อสุขภาพอยู่บ้าง และอย่างไรก็ตาม การ Kiss นั้นไม่ถึงกับอันตรายต่อชีวิตมากเกินไปหากระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงในช่วงที่รู้สึกว่าเริ่มอาการป่วย เช่นเดียวกับวัฒนธรรมบางประเทศที่มองว่า การจูบ หรือ การหอมนั้น เป็นเรื่องธรรมดา จะเห็นได้ว่ามีหลายประเทศที่ใช้วิธีเหล่านี้เป็นการทักทายกัน เพื่อแสดงความเคารพ ให้เกียรติกัน แทนการไหว้สวัสดีของบ้านเรา ไปดูกันเลยว่าจะมีประเทศไหนบ้าง
ฝรั่งเศส
ชาวฝรั่งเศสจะทักมายกับแบบ Faire La Bise คือการ Kiss ที่แก้มทั้งสองข้างโดยเริ่มจากซ้ายไปขวา จำนวน 2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับแต่ละแคว้น แต่หากว่าเป็นคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนเลยก็จะใช้วิธีการจับมือซึ่งถือว่าเป็นการทักทายระดับสากล และเมื่อแนะนำตัว ทำความรู้จักกันแล้ว ก็จะทักทายด้วยวิธีการ Kiss ที่แก้มเพื่อแสดงความสนิทสนม
สเปน
ทั้งผู้หญิง และผู้ชายจะทักทายกัน 2 ครั้งเช่นเดียวกับฝรั่งเศส แต่จะเริ่มจากด้านขวาก่อนเสมอ
เนเธอแลนด์
เมื่อชาวเนเธอแลนด์ได้พบปะกับครับครัว เพื่อน หรือคนรู้จัก จะทักทายด้วยการหอมแก้ม 3 ครั้ง แบบ ขวา-ซ้าย-ขวา สลับข้างกันซึ่งถือมารยาทในสังคมของคนชาวดัตซ์
เบลเยียม
ประเพณีของชาวเบลเยียม จะทักทายรุ่นเดียวกันโดยการหอมแก้มกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่หากว่าทักทายคนที่มอายุมากกว่าจะต้องทำถึง 3 ครั้ง ถือเป็นการแสดงความเคารพต่อกัน
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ส่วนมากชาวอาหรับจะทักทายกันด้วยวิธีการสัมผัสมือ และจะเห็นในบางครั้งที่ผู้ชายใช้จมูกชนกัน หอมแก้ม 3-4 ครั้ง หรือจูบไปบนมือของผู้ที่อาวุโสกว่า ซึ่งเป็นวัฒนธรรมสำหรับผู้ชายในอาหรับเท่านั้น
ที่มา Pobpad Tcompanion Bangkokbiznews