โดยการนับจำนวนสิ่งเหล่านั้น จึงถูกเรียกว่าเป็นเรื่องของ “จำนวนนับ” ในหลักวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน โดยจะเริ่มนับตั้งแต่ 1, 2, 3, 4, 5, ….. และเพิ่มขึ้นทีละ 1 ไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเราเรียกจำนวนนับนี้ว่า จำนวนธรรมชาติ หรือที่เราคุ้นหูกันว่า “จำนวนเต็มบวก” ซึ่งถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
ซึ่งคุณสมบัติของจำนวนนับ จะประกอบไปด้วยตัวละครต่าง ๆ มากมาย เริ่มจาก...
🔴ตัวประกอบ ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้ในการสร้างตัวประกอบของการคูณที่มีมากกว่า 2 ตัวขึ้นไป
จะเห็นได้ว่ามีเลข 1 48 16 3 8 และ 6 ซึ่งเราเรียกเลขเหล่านี้ว่าเป็นตัวประกอบของ 48 นั่นเอง
Tip : ซึ่งถ้าสังเกตดี ๆ ก็จะเห็นว่ามีตัวประกอบของ 48 ที่เหลืออยู่อีก ได้แก่ 2, 4, 12 และ 24
🔴จำนวนเฉพาะ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นพระเอกของจำนวนนับ ที่มีตัวประกอบเพียง 2 ตัวเลขเท่านั้น นั่นคือ 1 และตัวของมันเอง
ซึ่งจะเห็นว่าสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะลองหาวิธีแยกตัวประกอบอย่างไร จะหาคำตอบได้แค่ 1x47 โดยสรุปได้ง่าย ๆ ว่า 47 เป็นตัวเลขที่มีสมบัติพิเศษ เพราะมันไม่มีตัวประกอบอย่างอื่น และไม่สามารถแยกตัวประกอบให้เป็นตัวที่เล็กลงได้
🧮 ทริก! การหาจำนวนเฉพาะแบบเร็ว ๆ
มาดูกันว่าตัวเลข 1-100 จะสามารถหาจำนวนเฉพาะด้วยวิธีคิดแบบรวดเร็วได้อย่างไรบ้าง โดยคนแรกที่คิดหาคำตอบเหล่านี้ได้ มีชื่อว่า “เอราทอสเทนีส” นักคณิตศาสตร์ชาวกรีก เขาได้คิดค้นการวาดตารางเอราทอสเทนีสขึ้นมา
วิธีคิดขั้นตอนที่ 1 : นำ และหาว่าเลขอะไรที่นำมายกกำลัง 2 ได้ 100 นั่นก็คือ 10 โดยเราจะให้ความสนใจกับเลข 1-10
วิธีคิดขั้นตอนที่ 2 : ตัดตัวเลขในตารางที่หารด้วย 2 ลงตัว นั่นคือเลขคู่ทุกตัว
วิธีคิดขั้นตอนที่ 3 : สังเกตดูเลขตัวถัดไปนั่นก็คือ เลข 3 ว่าหารเลขใดได้บ้าง จากนั้นให้กากบาทตัวเลขที่หารลงตัวทิ้งไป โดยทำขั้นตอนเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ โดยตัวเลขสีชมพูที่เหลืออยู่ คือ จำนวนเฉพาะ
โดยจำนวนนับทุกตัวสามารถเขียนในรูปผลคูณของจำนวนเฉพาะได้แบบเดียวเท่านั้น ตามหลักทฤษฏีบทหลักมูลของเลขคณิต ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการประยุกต์อีกหลายอย่างที่เราจะได้เรียนรู้ต่อไปนี้
📚ความลับสุดยอด กับเทคนิคในการตรวจสอบการหารลงตัว
เป็นเทคนิคในการเช็กดูว่า ตัวเลขแต่ละตัวที่นำมาหารกับตัวเลขที่เราต้องการนั้น จะลงหรือไม่ ?
เริ่มจากตัวหารเลข 2 : ให้สังเกตดูว่าหลักหน่วยต้องลงท้ายด้วยเลขคู่
ตัวหารเลข 3 : นำเลขโดดทุกตัวมาบวกกัน อย่างเช่น 765 = 7+6+5 เท่ากับ 18 และนำ 3 มาหาร จะเท่ากับ 6 ซึ่งเป็นการหารที่ลงตัว
ตัวหารเลข 4 : สังเกตจากเลขโดดของ 2 หลักสุดท้าย ถ้า 4 หารลงตัว แสดงว่าเลขจำนวนทั้งหมดนั้นก็หารลงตัวเช่นกัน
ตัวหารเลข 5 : สังเกตง่าย ๆ จากจำนวนเลขต้องลงท้ายด้วย 5 หรือ 0 เท่านั้น
ตัวหารเลข 6 : สังเกตวิธีเดียวกับตัวหารเลข 3 แต่ต้องดูว่าหารด้วย 2 หรือ 3 ลงตัว
ตัวหารเลข 8 : สังเกตจาก 3 หลักสุดท้าย และต้องนำ 8 มาหารลงตัว
ตัวหารเลข 9 : นำเลขโดดทุกตัวมาบวกกัน และนำ 9 มาหารผลรวมของเลขโดดให้ลงตัว
ต่อไปเป็นตัวละครที่สำคัญอีกหนึ่งตัวละคร คือ ตัวหารร่วมมาก (ห.ร.ม.) และตัวคูณร่วมน้อย (ค.ร.น)
➗ตัวหารร่วมมาก (ห.ร.ม.) ของจำนวนนับสองจำนวน คือตัวหารร่วมที่ใหญ่ที่สุด โดยวิธีแยกตัวหารร่วมมากมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี ประกอบไปด้วย
1.การแยกตัวประกอบ ด้วยวิธีการตั้งหาร
และเมื่อถึงจุดสิ้นสุดที่ไม่สามารถหาตัวหาร หรือแยกตัวประกอบได้อีก เราจะได้ ห.ร.ม. ของเลข 360 และ 162 คือ 2x3x3 = 18
2.ขั้นตอนวิธีการหาร วิธีนี้มีความพิเศษตรงที่ว่า ทุกคนไม่จำเป็นต้องแยกตัวประกอบ แต่ใช้วิธีการนำจำนวนมาหารกันแทน ดังนี้
สรุปได้ว่า เศษเหลือตัวสุดท้ายคือ 18
ส่วน ✖️ตัวคูณร่วมน้อย (ค.ร.น.) ของจำนวนนับสองจำนวน เป็นตัวคูณร่วมที่เล็กที่สุด โดยสามารถทำได้แค่วิธีการแยกตัวประกอบแค่วิธีเดียว ซึ่งทำคล้าย ๆ เช่นเดียวกับ ห.ร.ม. นั่นเอง
เราไปดูตัวอย่างของการแยกตัวประกอบตามหลักทฤษฏีบทหลักมูลของเลขคณิตกันเลย
สรุปได้ว่า ค.ร.น. ของ 24 และ 150 คือ 2x3x4x25 หรือ โดยผลคูณทั้งหมด จึงเท่ากับ 600 นั่นเอง
👁🗨ข้อสังเกตเกี่ยวกับตัวหารร่วม และตัวคูณร่วม
นอกจากนี้ น้อง ๆ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมในวิชาคณิตศาสตร์ได้อีกมากมาย เพื่อใช้ในสอบเข้าครั้งต่อไปได้ทางรายการห้องเรียนติวเข้ม << คลิกเลย