“ข้อมูลจากมูลนิธิกระจกเงา พบว่า สถิติเด็กหายปี 2566 จำนวน 296 คน มีภาวะเจ็บป่วย 45 คน ถูกลักพาตัว 6 คน และสมัครใจไปเอง 172 คน โดยต้องการนำเด็กไปกระทำทางเพศ และรองลงมาคือ ประเภทรักใคร่เด็กโดยเสน่หา เพราะเด็กวัยนี้เป็นช่วงที่กำลังน่ารัก น่าเอ็นดู”
“ลักพาตัว” เป็นหนึ่งในภัยใกล้ตัวเด็กที่มีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้อย่างคาดไม่ถึง นอกเหนือจากเหตุจมน้ำ อุบัติเหตุบนท้องถนน ติดอยู่ในรถ ถูกทำร้ายร่างกายและการพลัดตกจากที่สูง ข้อมูลจากมูลนิธิกระจกเงา ระบุ สถิติเด็กหาย ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 18 ปี ทุกเพศ ย้อนหลัง 5 ปีที่ผ่านมา พบมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จากการรับแจ้งเรื่องปี 2566 มีตัวเลขเด็กหายทั้งหมด 296 คน กลุ่มที่เด็กมักหายออกจากบ้านมากที่สุด ช่วงอายุระหว่าง 11-15 ปี เป็นการสมัครใจออกจากบ้าน ปัจจัยส่วนหนึ่ง เกิดจากสภาพแวดล้อมภายในบ้าน อาจไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขา
ส่วนกลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มที่พบว่าเด็กมีอาการป่วย หรือบกพร่องทางสติปัญญา ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ประกอบกับผู้ปกครองขาดศักยภาพในการเลี้ยงดู เด็กกลุ่มนี้มีความน่าเป็นห่วง เพราะเมื่อหายออกจากไปบ้านไป โอากาสที่จะถูกหลอก หรือเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายในสังคมสูง เพราะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งตามหลักทฤษฎีอาชญาวิทยา ปัจจัยการประกอบอาชญากรรม มี 3 องค์ประกอบ คือ ผู้กระทำผิด เหยื่อหรือเป้าหมาย และโอกาสหรือช่วงเวลา สถานที่ เอื้อต่อการลงมือของผู้ต้องหา เช่น เด็กผู้หญิงเดินคนเดียวอยู่ริมทางในซอยรกร้าง
ส่วนวัตถุประสงค์ของผู้ก่อเหตุคดีลักพาตัวเด็กในประเทศไทยพบว่า ส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์ลักเด็กเพื่อกระทำทางเพศ รองลงมาเพื่อนำไปเลี้ยงดูด้วยความเสน่หา ซึ่งเด็กถูกลักพาตัวมีตั้งแต่อายุแรกเกิดถึง 12 ปี กลุ่มเสี่ยงที่สุดคือเด็ก ช่วงอายุ 3-8 ปีทั้งชายและหญิง ผู้ก่อเหตุมีได้ทั้งคนที่เด็กรู้จักและคนแปลกหน้า จุดที่เด็กถูกลักพาตัวมากที่สุด คือ บริเวณใกล้บ้านที่เด็กวิ่งเล่นลำพัง
ลักษณะผู้ต้องสงสัยลักพาเด็ก ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีความผิดปกติทางจิตใจ หรือบางคนไม่สามารถมีลูกได้ จึงใช้วิธีลักพาเอาลูกของคนอื่นไป หรือบางกรณีลักพาตัวเด็กเพื่อใช้เด็กต่อรองเรียกค่าไถ่ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่ต้องการแสวงหาประโยชน์จากเด็ก เช่นใช้เด็กให้เด็กช่วยทำงานหรือกระทำเรื่องผิดกฎหมาย รวมถึงการกระทำล่วงเกินทางเพศต่อเด็กอย่างต่อเนื่องยาวนานด้วย บุคคลเหล่านี้สามารถก่ออันตรายร้ายแรงต่อเด็กด้วยกันทั้งสิ้น
วิธีป้องกันลูกจากการถูกลักพาตัว ด้วยการสอนลูกไม่ให้คุย หรือรับขนมจากคนแปลกหน้า แม้ว่าคนนั้นจะพูดจาดี น่าเชื่อถือก็ตาม บอกลูกว่า อย่าเพิ่งเชื่อหรือไว้ใจเด็ดขาด ควรแจ้งผู้ใหญ่ก่อนเสมอ ไม่ควรปล่อยลูกอยู่คนเดียวที่บ้าน รวมถึงสถานที่ต่างๆ แม้ว่าจะมั่นใจว่าปลอดภัย เพราะอาจเกิดอันตรายจากมิจฉาชีพได้ จากผลสำรวจพบว่าสถานที่ที่เด็กถูกลักพาตัวมากที่สุดก็คือ ร้านเกม บริเวณบ้าน และห้างสรรพสินค้าตามลำดับให้ลูกจดจำข้อมูลของคุณพ่อคุณแม่ อาจเขียนใส่กระดาษพกติดตัวลูกไว้ เช่น ชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่ และสอนให้ลูกบอกข้อมูลกับคนที่น่าไว้ใจได้เท่านั้นเมื่อหลงทาง เช่น พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้าง เจ้าหน้าที่ตำรวจ
หลีกเลี่ยงให้ลูกเดินในที่เปลี่ยว แหล่งเสื่อมโทรมต่างๆ ขึ้นรถแท็กซี่ที่ติดฟิล์มสีเข้มกว่าปกติ รวมถึงสถานที่สาธารณะยามค่ำคืน สอนให้ลูกวิ่งหนีและตะโกนขอความช่วยเหลือทันที เมื่อเกิดเหตุการณ์การณ์ไม่น่าไว้ใจ เช่น ช่วยหนูด้วยช่วยผมด้วย และสอนให้ลูกมีสติ กรณีที่เป็นเด็กโต ไม่ร้องไห้ ตกใจกลัว และรู้จักป้องกันตัวเบื้องต้นในยามฉุกเฉิน เช่น ขว้างสิ่งของใกล้มือใส่คนร้าย เบี่ยงเบนความสนใจ หรือโจมตีจุดที่อ่อนที่สุดของคนร้าย เช่น ดวงตา จากนั้นให้วิ่งหนีให้เร็วที่สุดเพื่อขอความช่วยเหลือ
“การลักพาตัวเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น ดังนั้นการสอนลูกให้รู้จักป้องกันตัวเอง จะช่วยให้พ่อแม่ผู้ปกครองวางใจได้ในระดับหนึ่ง เพราะสุดท้ายแล้ว เด็ก ๆ ต้องออกไปใช้ชีวิต เรียนรู้และเติบโต การสอนให้พวกเขารู้จักดูแลตัวเอง จึงน่าจะดีกว่าเก็บลูกไว้ใกล้ตัวเพราะความกลัวของพ่อแม่เอง”
ในส่วนของสถานที่หรือจุดเสี่ยง เด็กควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ลับตาคนเพียงลำพัง เช่น ไปเข้าห้องน้ำ อยู่ในห้องเรียนคนเดียว ขณะเดินกลับบ้าน โดยไม่มีพ่อแม่ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลอยู่ใกล้ ๆ หากมีรถมาจอดใกล้ มีคนมาชวนคุย เด็ก ๆ ควรหลีกเลี่ยงรีบเดิน หรือวิ่งหนี และตะโกนดัง ๆ เพื่อให้คนอื่นได้ยินและขอความช่วยเหลือ
นอกจากนี้ภัยใกล้ตัวในโลกโซเชียล ถือเป็นอีกจุดที่ผู้ปกครองไม่ควรประมาท จากข้อมูล พบว่าเด็กยอมไปกับคนที่เพิ่งรู้จักหรือพูดคุยกันผ่านแอปพลิเคชัน อย่าง Facebook Instagram TikTok หรือแอปพลิเคชันหาคู่ แม้ว่าเด็กจะสมัครใจหนีออกจากบ้านเอง แต่โลกภายนอกบ้าน มีอันตรายหลายอย่างสำหรับเด็ก ทั้งการคุกคามหรือหาประโยชน์ทางเพศกับเด็ก หรือมีความเสี่ยงในการถูกล่อลวง หรือกระทำความรุนแรง โดยปีที่ผ่านมา มีเด็กวัยรุ่นหายออกจากบ้าน ภายหลังพบถูกฆาตกรรม
สัญญาณมือขอความช่วยเหลือสากล เป็นการขอความช่วยเหลือจากการถูกทำร้ายร่างกาย หรือถูกคุกคามที่ใช้ได้ง่ายและใช้เวลาไม่นานก็สามารถส่งสัญญาณได้ โดย 4 ขั้นตอนคือ 1.หงายฝ่ามือออกหาผู้อื่น 2.พับนิ้วโป้งเข้าหาฝ่ามือ 3. พับนิ้วที่เหลือทั้ง 4 มากุมปิดนิ้วโป้ง และ4. ค่อยๆ ทำช้าๆ อีกหลายครั้ง สัญญาณมือนี้มักจะใช้เวลาเด็กๆ หรือผู้หญิงถูกคุกคาม อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถพูด หรือร้องขอความช่วยเหลือได้ เพื่อขอความช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อเราได้รับสัญญาณมือขอความช่วยเหลือก็อย่านิ่งนอนใจ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อแจ้งความช่วยเหลือ นอกจากนี้ กรณีที่เด็กถูกลักพาตัวโดยรถยนต์ ผู้ปกครองควรสอนวิธีการหลบหนีให้บุตรหลานด้วย 3 ขั้นตอนง่ายๆ คือ ผลักประตู ยืนที่ประตู และกระโดดออกจากรถ