เราอยู่ในยุคสังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ ผู้สูงอายุเพิ่ม วัยแรงงานลด ครั้นจะเร่งให้เด็กเกิดใหม่เพิ่ม ทดแทนวัยแรงงานในอนาคต กลายเป็นฝันที่ไกลเกินจริง พอจะหันไปพัฒนา “คุณภาพ” ตั้งแต่ต้นทาง เด็กปฐมวัย 0-6 ปี ก็พบความจริงที่น่าตกใจ เด็กกว่า 20% มีพัฒนาการล่าช้า และยังไม่ช่องว่างในการส่งเสริมเด็กอายุ 0-2 ปี
เด็กวัย 0-2 ปียังอยู่ในมือพ่อแม่ผู้ปกครอง ถ้าจะต้องลงทุนพัฒนาเด็กวัยนี้เพิ่มขึ้น ใครจะเป็นเจ้าภาพ ใครจะช่วยพ่อแม่ ผู้ปกครอง หนุนส่งให้เด็กๆ เติบโตอย่างมีคุณภาพ?
เป็นโสด แต่งงานช้า ไม่อยากมีลูก ทำให้ความกังวลของโลกใบเก่าเมื่อ 40-50 ปีก่อน ว่า ประชากรจะล้นโลกต้องเปลี่ยนไป กลายเป็นว่า จากนี้ไป เราจะมีประชากรวัยแรงงาน ทำงานสร้างรายได้ พัฒนาเศรษฐกิจ และมีความสามารถในการจ่ายภาษีเพื่อพัฒนาระบบสวัสดิการรอบรับผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ได้มากน้อยแค่ไหน?
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล วิเคราะห์ข้อมูลของสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พบว่า ปี 2567 มีเด็กเกิดใหม่ เพียง 462,240 คน น้อยกว่า จำนวนผู้เสียชีวิต 571,646 คน อัตราการเกิดติดลบ 0.17 เปอร์เซ็นต์ ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 ขณะที่อัตราเจริญพันธุ์ หรือ ความสามารถที่ผู้หญิง 1 คน จะมีลูกได้ กำลังลดลงเรื่อยๆ ซึ่งคาดการณ์ได้ว่า คนในยุคถัดไปเกิดน้อยลงแน่ๆ แม้รัฐจะพยายามกระตุ้นให้มีลูกเพิ่ม ก็ไม่น่าจะสำเร็จโดยง่าย
ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว นักเศรษฐศาสตร์ด้านการศึกษาและนักวิชาการมหาวิทยาลัย เสนอให้เพิ่มการลงทุนในเด็กเพิ่มขึ้นทั้งด้านการศึกษา สุขภาพ และสวัสดิการต่าง ๆ ลดความเครียดทางเศรษฐกิจของครอบครัว สนับสนุนสวัสดิการในสถานที่ทำงานเพื่อช่วยให้พ่อแม่มีเวลาและความพร้อมในการเลี้ยงดูบุตร ส่งเสริมการเกิดในเชิงคุณภาพและให้คุณค่าแก่บทบาทของพ่อแม่ในสังคม เพราะ “เด็ก คือ ทรัพยากรที่ทรงคุณค่า”
ในจำนวนเด็กเกิดใหม่ที่น้อยลง เด็กๆ ที่เกิดจากแม่วัยใสกว่า 128,000 คน ตามรายงานข้อมูล “แม่เลี้ยงเดี่ยวโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด” เป็นกลุ่มหนึ่งที่ได้รับความสนใจอย่างมาก
รายงานสถานการณ์สังคมไทย ไตรมาส 4 ปี 2567 ของสภาพัฒน์ ระบุว่า เยาวชนไทยอายุ 10-14 ปี ตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นจาก 0.77 ต่อพันคน เมื่อปี 2566 เป็น 0.93 ต่อพันคน ในปีที่ผ่านมา ขณะที่เกณฑ์ของสหประชาชาติไม่ควรเกิน 0.7 ต่อพันคน
สาเหตุหลักจากการวิเคราะห์ข้อมูลจากโทรสายด่วน 1663 พบว่า เยาวชนขาดความรู้ ไม่ได้ป้องกันและถูกล่วงละเมิด แต่ผลสืบเนื่อง คือ แม่วัยใสมีโอกาสน้อยมากๆ ในการหารายได้เลี้ยงลูกให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ยาก นี่คือ สภาพการเกิดของประชากรที่น่าขบคิด ทั้งเกิดน้อย และ ครอบครัวขาดกำลังในการสนับสนุนโอกาส
ข้อมูลจากกรมอนามัย พบว่า เด็กปฐมวัยประมาณ 1.6 ล้านคน กว่า 3.35 แสนคน ราว 20% ที่ไม่ได้รับการคัดกรองพัฒนาการ เนื่องจากขาดโอกาส และเข้าไม่ถึงบริการ ในจำนวนที่เข้าถึงการคัดกรอง พบว่า มี 1 ล้านคน ที่มีพัฒนาการสมวัย และ มี 2.7 แสนคน ที่สงสัยว่าพัฒนาการล่าช้า โดยเฉพาะด้านภาษาที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
ปัญหาที่น่าตกใจก็คือ มีน้อย แถมขาดคุณภาพ ท่ามกลางรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่า เราจะต้องส่งเสริมให้เด็กตั้งแต่แรกเกิด – 6 ขวบได้รับการดูแลที่เหมาะสม
คำถาม ก็คือ ถ้าเรามีลูก มีสิทธิลาคลอด แต่ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้เองจนกว่าจะเข้าโรงเรียน เราควรจะส่งลูกให้ใครเลี้ยง? หาพี่เลี้ยง? ส่งกลับบ้านต่างจังหวัด หรือ หาศูนย์ Day care?
รศ.ดร.ชลาธิป สมาหิโต นักวิชาการด้านปฐมวัย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่า จากสถานการณ์ปัญหาด้านประชากรในอนาคต เราต้องเร่งพัฒนา “ผู้ดูแลเด็ก 0-2 ปี” ที่เป็นทั้งผู้ดูแลเด็กที่รักเด็กวัยนี้ประดุจพ่อแม่ แต่มีความรู้ด้านพัฒนาการตามช่วงวัย และช่างสังเกตด้านพฤติกรรม
ซึ่งเมื่อเราลองเปิดมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ที่เป็นมาตรฐานกลางในการดูแลเด็ก 0-2 ปี จะพบว่า ต้องมีสัดส่วนที่เหมาะสม เช่น เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ต้องมีสัดส่วน ครู/ผู้ดูแล 1 ต่อ 3 คน และ หากต่ำกว่า 2 ปี จะต้องมีสัดส่วน 1 ต่อ 5 คน ต่ำกว่า 3 ปี มีสัดส่วน 1 ต่อ 10 คน
นี่คือ โจทย์ท้าทายของรัฐในการสร้างและพัฒนาคนกลุ่มให้เท่ากันกับสภาวะเกิดน้อย ที่ต้องมีคุณภาพ แต่แล้วใครล่ะ ที่เหมาะจะเป็น “ผู้ดูแลเด็ก 0-2ปี” ภาระนี้จะส่งให้ครูอนุบาลต้องแบกรับไว้อีก หรือไม่
บทความโดย
พรวดี ลาทนาดี ศูนย์สื่อสาธารณะเพื่อเด็กและการเรียนรู้ ไทยพีบีเอส