ปกติแล้ว “ก๊าซมีเทน” (methane) หรือที่มักเรียกว่า ก๊าซเรือนกระจก เกิดขึ้นโดยธรรมชาติจากกิจกรรมต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต เช่น การย่อยอาหารของวัว ควาย, การย่อยสลายใบไม้ของจุลิทรีย์ รวมถึงเผาไหม้เชื้อเพลิง แต่เดี๋ยวก่อน! จะเกิดอะไรขึ้นหากพบก๊าซดังกล่าวในอวกาศนอกระบบสุริยะ?
ล่าสุด นาซา (NASA) ได้เปิดเผยทฤษฏีใหม่ที่อาจนำไปสู่การค้นพบสิ่งมีชีวิตนอกโลก เมื่อกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เว็บบ์ (James Webb Space Telescope หรือ JWST) ได้เปิดเผยความลับของจักรวาล พบก๊าซมีเทน, น้ำแข็ง, แอมโมเนีย และสสารอื่น ๆ ในกลุ่มแก๊สอวกาศที่เรียกว่า “Protostellar Nebula ” ส่วนผสมเหล่านี้จะช่วยให้นักดาราศาสตร์สามารถตรวจสอบโมเลกุลน้ำแข็งก่อนจะเข้าไปรวมกันในดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของสิ่งมีชีวิต
ทฤษฏีนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียง เนื่องจากการค้บพบก๊าซมีเทนเพียงอย่างเดียวไม่ได้หมายความว่าเราจะพบสิ่งมีชีวิตนอกโลก เช่นเดียวกับการตรวจพบก๊าซมีเทนบนดาวอังคารที่ตอนนี้ก็ยังหาที่มาที่ไปไม่ได้ ดังนั้น ก๊าซมีเทนในเนบิวลาที่ตรวจจับได้ก็อาจไม่ได้เกิดจากกิจกรรมของเอเลียน แต่ถึงอย่างไร โจทย์นี้ก็คงต้องใช้เจ้ากล้องเจมส์ เว็บบ์ ศึกษาอย่างละเอียดต่อไป
เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเมื่อนักดาราศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะห่างจากโลกเพียง 11 ปีแสง ชื่อว่า “Ross 128b” โดยมีขนาด อุณภูมิ และแรงโน้มถ่วงใกล้เคียงกับโลกที่สุดเท่าที่เคยค้นพบมา ซึ่งคุณสมบัติที่ว่านี้เอื้อต่อพัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
Ross 128b เป็น “ดาวเคราะห์หิน” เช่นเดียวกับ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร และโลก ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 2017 ที่หอดูดาวลาซิลลาในประเทศชิลี จากการใช้เครื่องตรวจจับเพียงรัศมีของแสงสว่าง พบว่าดาวเคราะห์ดวงนี้โคจรอยู่นอกระบบสุริยะ รอบดาวแคระแดงชื่อ Ross 128 ห่างจากโลกของเราเพียง 11.007 ปีแสง อีกทั้งยังอยู่ใน “เขตเอื้ออาศัย” (Circumstellar habitable zone) ที่อาจก่อเกิดสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายกับโลกของเราหลายประการ เช่น
อย่างไรก็ตาม Ross 128b มีระยะการโคจรรอบตัวเองค่อนข้างสั้น 1 ปีจะใช้เพียงเวลา 9.9 วัน เท่านั้น และถูกเรียกว่าเป็น “super-Earth” ดวงหนึ่งที่อยู่นอกระบบสุริยะ
อีกเหตุผลหนึ่งที่ Ross 128b น่าจะเป็นมิตรต่อสิ่งมีชีวิต ก็คือดาวแม่ Ross 128 ค่อนข้างเป็นดาวที่มีอุณภูมิคงที่และไม่แผ่รังสีความร้อนที่เป็นอันตราย ทำให้นักวิทยาศาตร์ตั้งข้อสังเกตว่าหาก Ross 128b มีชั้นบรรยากาศและอุณภูมิที่พอเหมาะก็อาจเกิด “น้ำ” อยู่บนพื้นผิวของดาว ซึ่งน้ำอาจเป็นเบาะแสสำคัญที่จะพาเราไปค้นพบสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้ก็เป็นได้
เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2017 มีวัตถุลึกลับในระบบสุริยะที่เรียกว่า 1I/2017 U1 หรือ “Oumuamua” เป็นที่ถกเถียงกันในวงการดาราศาสตร์ไม่รู้จบ เนื่องจากจู่ ๆ เจ้าสิ่งนี้ก็เคลื่อนที่เข้าใกล้โลกด้วยความเร็วสูง 87.3 กิโลเมตรต่อวินาที จากนั้นก็เปลี่ยนเส้นทางยังกลุ่มดาวเพกาซัสอย่างรวดเร็ว
การเคลื่อนที่ของวัตถุประหลาดนี้ ถือว่าเร็วเกินกว่าดาวหางและดาวเคราะห์น้อยทั่วไปในระบบสุริยะของเรา (ปกติเคลื่อนที่ 19 กิโลเมตรต่อวินาที) จึงสร้างความฮือฮาเป็นที่สุด ในตอนนั้นนักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานเพียงว่ามันคือ “แท่งไฮโดรเจนแข็งธรรมดา” ที่สามารถเร่งความเร็วขึ้นเองได้ในบางช่วง หรืออาจเป็นเศษซากของดาวหางที่อยู่นอกระบบสุริยะ
ล่าสุด นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและสถาบัน KASI ของเกาหลีใต้ออกมาชี้เบาะแสใหม่ว่า ไม่แน่นะ! โอมูอามูอาอาจถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีต่างดาว เพราะหากโอมูอามูอาเป็นดาวเคราห์น้อยจริง ในระหว่างการเดินทางอันยาวนานจากนอกระบบสุริยะ ไฮโดรเจนแข็งคงจะค่อย ๆ สลายตัวไปหมดแล้ว
ลักษณะการหมุนของ โอมูอามูอา ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ารูปทรงทรงของมัน “คล้ายซิการ์” ซึ่งค่อนข้างผิดแผกไปจากดาวเคราะห์น้อยที่พบทั่วไป จนบัดนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าวัตถุลึกลับนี้ก่อตัวจากอะไร? หรือมาจากไหน? แต่มีความเป็นไปได้ที่ระบบดาวอื่น ๆ จะปล่อยวัตถุคล้ายดาวหางเล็ก ๆ นี้ออกมาลอยอยู่ท่ามกลางดวงดาวให้เราได้สังเกต
ในอดีตนักวิทยาศาสตร์ต่างเชื่อว่า ดาวเคราะห์ที่ไร้ออกซิเจน อาจไม่ใช่ที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต แต่หากมองอีกมุมสิ่งมีชีวิตนอกโลกอาจหายใจด้วยก๊าซชนิดอื่นก็ได้นะ
อย่างงานวิจัยล่าสุด ในห้องทดลองของสถาบันเอ็มไอที (MIT) ของสหรัฐฯ ระบุว่า จุลินทรีย์สามารถอยู่รอดและเติบโตได้ในชั้นบรรยากาศที่มี “ไฮโดรเจน” (Hydrogen) เป็นส่วนประกอบ โดยศึกษาจากจุลินทรีย์ 2 ชนิด คือ แบคทีเรีย E. coli ที่พบในลำใส้ของคน สามารถเติบโตได้ทั้งในสภาวะที่มีออกซิเจน-ไม่มีออกซิเจน และยีสต์ ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีโครงสร้างซับซ้อนกว่า ทั้งสองถูกทดลองในหลอดแก้วที่เติมเต็มด้วยก๊าซไฮโดรเจน 100 %
แม้สุดท้ายพวกมันหยุดการเจริญเติบโตและการขยายพันธุ์ แต่ผลลัพธ์ก็แสดงให้เห็นว่าชั้นบรรยากาศที่มีไฮโดรเจนจะไม่ทำอันตรายใด ๆ กับสิ่งมีชีวิตบางรูปแบบ และเป็นไปได้ว่าบนดาวเคราะห์ดวงอื่นอาจมีสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่ไม่ซับซ้อนอาศัยอยู่และใช้ก๊าซไฮโดรเจนหายใจก็ได้ ซึ่งจะเป็นก้าวต่อไปของนักดาราศาสตร์ ในการค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะที่ปกคลุมด้วยไฮโดรเจนเพื่อหาสัญญาณของสิ่งมีชีวิต
ขณะที่ NASA ใช้เวลามากมายในการค้นหาดาวเคราะห์ที่อยู่นอกระบบสุริยะของเรา มีงานวิจัยหนึ่งออกมาเตือนนักวิทยาศาสตร์ว่า ไม่ควรมองข้ามวัตถุทรงพลังที่สุดของธรรมชาติ นั่นคือ “หลุมดำ” เนื่องจากหลุมดำนั้นสามารถแผ่พลังงานได้มากกว่าดวงอาทิตย์ถึง 100,000 เท่า จึงอาจกลายเป็นแหล่งพลังงานที่น่าสนใจของ “อารยธรรมต่างดาว”
ทีมนักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวาของไต้หวันตั้งสมติฐานว่า มนุษย์ต่างดาวอาจติดตั้งเครื่องดูดเก็บพลังงานขนาดยักษ์ที่ล้ำสมัยเรียกว่า “Dyson Sphere” ไว้รอบ ๆ หลุมดำ เพื่อขโมยขุมพลังงานมหาศาลไปใช้
รายงานการวิจัยยังอธิบายอีกว่า “แม้หลุมดำจะดูดกลืนทั้งสสารและพลังงาน แต่หลุมดำก็ปลดปล่อยพลังงาน เช่น แสงสว่างและความร้อนหลายล้านองศาเซลเซียส รวมทั้งพลาสมาแม่เหล็กพลังงานสูง สู่อวกาศเป็นครั้งคราว” ซึ่งหมายความว่าอารยธรรมขั้นสูงอาจอาศัยรอบ ๆ พลังงานเหล่านี้และพยายามใช้เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีในจักรวาลอื่น
หากเอเลียนสร้าง Dyson Sphere เพื่อดูดซับพลังงานจากหลุมดำได้จริง ทีมผู้วิจัยชี้ว่าเราอาจตรวจพบรังสีอินฟราเรดที่มีเอกลักษณ์พิเศษก็ได้ จึงเป็นเรื่องท้าท้ายของนักวิทยาศาสตร์ที่จะหาคำตอบ
มนุษย์สงสัยมานานแล้วว่าเราอาจไม่ได้อยู่คนเดียวในจักรวาล และตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณไว้ว่าอาจมีมนุษย์ซุ่มอยู่ดาวอื่นอย่างน้อย 36 อารยธรรมที่สามารถสื่อสารกันได้ด้วยวิธีล้ำหน้า
นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยนอตติงแฮม ได้คิดค้นวิธีคำนวนความเป็นไปได้ของมนุษย์ต่างดาว โดยใช้หลักการที่เรียกว่า Astrobiological Copernican Limit เป็นการตั้งสมมติฐานที่ว่า ชีวิตที่ชาญฉลาดสามารถเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์ดวงอื่นได้ในสภาพที่คล้ายคลึงกับโลก หลังจากการก่อตัวขึ้นของดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง เวลาผ่านไปราว 4.5 - 5.5 พันล้านปีจนมันมีอายุเก่าแก่พอ ๆ กับโลก สิ่งมีชีวิตต่างดาวนั้นก็อาจมีวิวัฒนาการล้ำหน้าไม่ต่างจากมนุษย์ เช่น การส่งสัญญาณวิทยุจากดาวเทียมและโทรทัศน์ หรือพยายามค้นหาสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า การค้นหาชีวิตที่ชาญฉลาดจากนอกโลกทำให้เราเข้าใจได้ว่าอารยธรรมมนุษย์โลกสามารถดำรงอยู่ได้นานเพียงใด ยิ่งเราพบอารยธรรมใกล้บ้านมากเท่าไหร่ โอกาสที่มนุษย์จะอยู่รอดในระยะยาวก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยเวลาและระยะทาง ปัจจุบันเทคโนโลยีของเรายังไม่สามารถตรวจจับหรือสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวได้ คงต้องรอนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่สานต่อภารกิจนี้
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ : planetary.org , องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ, BBC News Thai, ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์, smithsonianmag.com