วันนี้ถูกปลุกด้วยนาฬิกา...
กับคนที่ใช้ชีวิตล่องลอยแบบเรา เมื่อเหตุให้ต้องออกไปไหนนอกบ้านต่างเวลา เป็นอันต้องพึ่งพานาฬิกาปลุก จะคาดหวังให้ตื่นตามวงจรของพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าอย่างคนอื่น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เวลาเดียวที่จะตื่นเพราะแดดส่องก็คือตอนบ่ายจัดที่แสงยูวีและความร้อนแห่งประเทศไทยสาดทะลุม่านห้องนอนเข้ามาปิ้งเตียง จนต้องลุกไปอาบน้ำเท่านั้น
ลืมตามามองจอมือถือบอกเวลา 11:43 น.
แต่แสงแดดดูเหมือนจะไม่ยอมมาตามนัด เกือบเที่ยงแล้วข้างนอกยังครึ้ม เครื่องปรับอากาศข้างในห้องนอนยังเป่าลมเย็นจนอยากกระชับผ้าห่มให้มิดชิดกว่าเดิม แต่ธุระปะปังในชีวิตจริงสั่งให้เราต้องลุกแล้ว
เอื้อมมือไปกดเพลย์ลิสต์เพลงโปรด เสียงเครื่องเป่าในท่อนอินโทรลอยเอื่อยมาข้างกันกับเปียโนจังหวะเนิบข้า มอบเพลงประกอบให้กับฝนที่กำลังตั้งใจตกอยู่นอกหน้าต่าง
บรรยากาศแบบนี้ ไม่มีเพลงไหนที่เหมาะไปกว่า Rainy Days and Mondays ของ The Carpenters อีกแล้ว
“...What I've got they used to call the blues. ...ความรู้สึกที่ฉันมี เขาเรียกกันว่าความเศร้าซึม
Nothin' is really wrong. ไม่ได้มีอะไรผิดแผกแปลกไป
Feelin' like I don't belong. แค่รู้สึกไร้พื้นที่สบายใจ
Walkin' around, some kind of lonely clown. ทำได้แค่ลากขาไปเหมือนตัวตลกที่แสนเดียวดาย
Rainy days and Mondays always get me down. สายฝนที่ร่วงหล่นในวันจันทร์ ทำให้ใจฉันหล่นหายได้เสมอ”
..................
หนังสือปกสีน้ำเงิน แต้มตัวหนังสือสีขาวเขียนว่า “deep and blue” ที่ภาพประกอบข้างในมีรูปท้องฟ้าเหนือตึกสีเหลี่ยมอยู่เต็มไปหมด แต่ละภาพถูกตกแต่งให้แตกต่างกันไปเพื่อนำเข้าบทความแต่ละบทที่สื่อความรู้สึกนึกคิดที่ต่างวาระ
หนังสือเล่มนี้เป็นของคนแปลกหน้าที่เอาแต่ถ่ายภาพท้องฟ้าบ้านข้างๆ มุมเดิมซ้ำไปซ้ำมา จะน่าสนใจสักเท่าไหร่กัน?
“ฉันมักจะคอยสังเกตตัวเองในทุกเช้า
ว่าคนที่ตื่นมานั้นยังเป็นคนที่ฉันรู้จักอยู่หรือเปล่า”
เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่เธอบอกว่าเธอหมั่นทำความรู้จักตัวเองอยู่เสมอ จะลองนั่งลงคุยกับเธอดูก็ได้ ไหนๆ วันนี้มันช่างเป็นใจให้ดิ่งลงสู่ความเป็นนางเอกเอ็มวีเสียเหลือเกิน เราไม่ได้มีเวลามาเริ่มต้นวันด้วยอารมณ์อึมครึมแบบนี้บ่อยๆ หรอกนะ
เพียงแค่วันนี้เรารู้สึกปลอดภัยพอที่จะสัมผัสกับความเทาในชีวิต
.................
สิ่งที่เราครอบครองมักจะผลักให้เรามองเห็นแต่สิ่งที่เรามี ทัศนคติที่กล่อมเราว่าถ้ายังมีแรงก็อย่าเพิ่งหยุดเดิน ทำให้เราเผลอโบยตีตัวเองไม่ให้หยุดพัก จนเมื่อสะสมชีวิตที่คิดว่าอยากมีไว้มากเข้า ก็บดบังจนมองไม่เจอเสียแล้วว่าเราเผลอทำอะไรหล่นหายไป
“...หากสูญเสียบางสิ่งไปก็เสียใจได้ครับ”
ประโยคนี้ลอยเด่นขึ้นมาจากบทความที่ชื่อว่า “ถึงคุณผู้เหนื่อยล้า” สะกิดให้เราสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจยาว
เกือบลืมไปแล้วว่าหนึ่งในหน้าที่ของการมีชีวิตอยู่ต้องมีลมหายใจ
เธอบอกฉันว่า ให้เวลากับการเงยหน้ามองท้องฟ้าบนหลังคาบ้านข้างๆ ดูบ้างก็ได้ ถึงจะไม่ได้สวยจับใจอย่างกับภาพในโปสการ์ด แต่อย่างน้อยวันนี้ก็แดดไม่แรงแยงตาจนจ้องมันไมไหว
เรานั่งลงตรงระเบียงบ้านตัวเอง
ยินดีที่ได้รู้จักกับเธอทำให้เราได้ทำความรู้จักกับตัวเองมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง
คนแปลกหน้าคนนี้คือเจ้าของหนังสือชื่อ “deep and blue ท้องฟ้าของบ้านเลขที่ 047” เขียนโดย ตูน ณัฐธีร์ อัครพลธธนรักษ์ หรือศิลปินที่รู้จักกันในนาม t_047 ไปลองนั่งมองฟ้าของบ้านข้างๆ ได้ที่ สำนักพิมพ์ AVOCADO BOOKS