เสาชิงช้า เสาไม้สีแดง ตั้งอยู่บนแท่นหินขนาดใหญ่ ความยิ่งใหญ่ตระการตากลางเมือง เป็นแลนด์มาร์กสำคัญของกรุงเทพมหานคร กว่า 238 ปี พื้นที่นี้ถูกขนานนามว่าเป็น “สะดือเมือง” เสาอันเป็นที่จัดพิธีโล้ชิงช้าในอดีต และมีประวัติศาสตร์คู่กับประเทศไทยเรามาอย่างยาวนาน วันนี้ ALTV จะพาย้อนรอยอดีตเสายักษ์ 2 ตัน ที่ตั้งตระหง่านกลางกรุง ว่าจะมีประวัติความเป็นมาอย่างไร
เสาชิงช้าเริ่มมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงโปรดฯ ให้สร้างเสาชิงช้าคู่แรก เมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2327 หลังจากการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีได้ 2 ปี บริเวณหน้าเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ในพระนคร โดยเสามีความสูง 21.15 เมตร ฐานกลมก่อเป็นฐานปัทม์ทำด้วยหินล้างสีขาว เหตุที่สร้างเพื่อสื่อถึงความเป็นศูนย์กลางของพระนคร และเพื่อใช้เสาชิงช้าเป็นหลักในการประกอบพิธีตรียัมปวาย-ตรีปวาย หรือโล้ชิงช้า ซึ่งเป็นราชพิธีที่พราหมณ์ยึดถือปฏิบัติมาแต่โบราณกาล ต่อมารัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการสร้างโรงเก็บน้ำมันก๊าดขึ้นบริเวณนั้น จึงต้องย้ายเสาชิงช้ามาสร้างใหม่ที่บริเวณหน้าวัดสุทัศนเทพวราราม เป็นที่ตั้งของเสาชิงช้าจนถึงปัจจุบัน ซึ่งกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492
สะดือเมือง คือ พื้นที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นศูนย์กลางของเมือง ถือเป็นพื้นที่รวมศูนย์พลังของอาณาจักร ใบสมัยโบราณมักใช้บริเวณสะดือเมืองประกอบพระราชพิธี และพิธีสำคัญศักดิ์สิทธิ์ของเมือง ซึ่งสะดือเมืองของกรุงเทพมหานคร ถูกกำหนดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โดยพิจารณาจากการเป็นจุดกึ่งกลางเมืองจากแนวกำแพงพระนครใหม่ที่ถูกย้ายจากฝั่งตะวันตกในสมัยกรุงธนบุรี มาอยู่ฝั่งตะวันออก
จัดเป็นพิธีสำคัญ ของศาสนาพราหมณ์ คือเป็นงานนักขัตฤกษ์ปีใหม่ ของพราหมณ์ สืบเนื่องมาจากคติความเชื่อที่ว่า ในระหว่างขึ้น 7 ค่ำ เดือนอ้าย ถึงวันแรม 1 ค่ำเดือนอ้าย “พระอิศวร”จะเสด็จลงมาเยี่ยมโลกมนุษย์ เป็นเวลา 10 วัน ในระหว่างนี้พราหมณ์ทมิฬ ซึ่งนับถือพระอิศวรเป็นเทพเจ้าสูงสุด ได้จัดให้มีการ บูชาพระอิศวร เรียกว่า “พิธีตรียัมปวาย” และเมื่อพระอิศวรเสด็จกลับสู่สรวงสวรรค์แล้วก็ถึงช่วงเวลาที่พระนารายณ์เสด็จมาบนโลกมนุษย์ และจัดให้มีพิธีบูชาที่เรียกว่า “พิธีตรีปวาย” ด้วยเหตุนี้ พระราชพิธีตรียัมปวายและตรีปวาย จึงจัดเป็นพิธีต่อเนื่องกัน 2 พิธี รวมเรียกว่า พิธีตรียัมปวาย-ตรีปวาย ในส่วนการประกอบพิธีโล้ชิงช้าซึ่งนับเป็นพิธีกรรมที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากในพระราชพิธี กล่าวกันว่าเพื่อทดสอบความมั่นคงของราชธานีเป็นกุศโลบายที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ เพื่อให้พระเจ้าแผ่นดิน ขุนนาง และอาณาประชาราษฎร์ระลึกถึงความไม่ประมาท
“เสาชิงช้าในปัจจุบันคือเสาต้นเดียวกับสมัยรัชกาลที่ 1 หรือไม่ ? ตอบเลยว่าไม่ใช่ เสาต้นที่เราเห็นกันทุกวันนี้เป็นเสาชิงช้าต้นที่ 4 แล้ว”
ด้วยความที่เสาชิงช้าทำจากไม้ เมื่อผ่านกาลเวลาจึงชำรุดผุพังต้องบูรณปฏิสังขรณ์หลายครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อสมัยรัชกาลที่ 2
พ.ศ. 2361 เกิดฟ้าผ่าลงบนยอดเสาชิงช้า จนต้องซ่อมแซมใหม่บางส่วน
พ.ศ.2463 ในสมัยรัชกาลที่ 6 เสาชิงช้าเกิดการผุพังทั้งหมด จนต้องเปลี่ยนใหม่
พ.ศ.2490 เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่โคนเสาชิงช้า โดยไม่ทราบสาเหตุ จึงต้องบูรณะส่วนที่เสียหาย
พ.ศ.2513 เสาชิงช้าชำรุดผุกร่อนลงมาก จนต้องเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ทั้งหมด
พ.ศ. 2549 เสาชิงช้าผุพังลง จนต้องบูรณปฏิสังขรณ์ ถือเป็นครั้งล่าสุดในการซ่อมแซมเสาชิงช้า
ไม้สักทอง เป็นไม้ที่เหมาะที่สุดในการทำเสาชิงช้า เพราะเป็นไม้ที่จัดเป็นไม้มงคลของไทย เนื้อแข็ง หายาก และมีความคงทนสูง การเสาะหาไม้จึงพิจารณาคัดสรรเลือกไม้สักทองท่อนเดียว เป็นไม้ท่อนตรงไม่มีตำหนิ เป็นลำดับแรก เพราะไม้สักทองเป็นไม้ที่มีคุณค่าทางจิตใจสูง และการใช้ไม้ท่อนเดียวผนวกกับกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่จะทำให้ไม้มีความแข็งแรงมากขึ้น เพราะจะไม่มีปัญหาเรื่องน้ำเข้าระหว่างรอยต่อ ซึ่งจะทำให้ไม้ผุเร็ว สามารถอยู่ได้นานประมาณ 100 ปี หากไม่สามารถหาไม้สักทองมาได้ไม้รองที่สามารถนำมาทำเสาได้คือ ไม้ตะเคียนทอง เสาชิงช้าทั้งคู่นั้น ต้องใช้ไม้ที่มีเส้นรอบวงที่เมื่อตัดและกลึงแล้ว ต้องมีขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่า 60 เซนติเมตร ปลายยอดต้องใหญ่ไม่ต่ำกว่า 50 เซนติเมตร และมีความยาวไม่ต่ำกว่า 20 เมตร โดยไม้สักทองที่ใช้เป็นเสาชิงช้าในปัจจุบันเป็นไม้ที่หาได้จากจังหวัดแพร่ ซึ่งได้ดำเนินการแล้วเสร็จและทำพิธีบวงสรวงเสาชิงช้าใหม่ ในวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2549
แม้เวลาจะผ่านไปยาวนาน แต่ความยิ่งใหญ่อันเป็นที่ประจักษ์ของเสาชิงช้า ทำให้ผู้คนยังคงไม่หลงลืมและยังกล่าวถึงพิธีโล้ชิงช้า พิธีกรรมแห่งความตื่นเต้นหวาดเสียวของชาวไทย ที่เกิดขึ้นกับเสาคู่ 2 ต้นนี้ แม้ในปัจจุบันจะไม่มีให้เห็นแล้ว แต่เรื่องราวความยิ่งใหญ่จะอยู่คู่กับประเทศไทยไปนานเท่านาน