เราเริ่มต้นวันนี้เหมือนวันธรรมดาอื่น ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาก็พลิกตัวเอื้อมมือไปปลดมือถือออกจากสายชาร์จ ดูเวลา...บ่ายแล้ว กดเปิดเพลงที่ชอบประกอบการนั่งโงกเงกพักนึงก่อนแล้วค่อยบิดขี้เกียจกร๊อบแกร๊บสองสามทีถึงพอมีกำลังใจพาตัวเองลุกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะเดินเลยไปเปิดสวิตช์ไฟ วางแก้วเข้าที่ก่อนกดเครื่องชงกาแฟแล้วหย่อนขนมปังลงเครื่องปิ้งด้วยมือขวา ส่วนนิ้วโป้งมือซ้ายก็ปัดหน้าจอโทรศัพท์ไล่ดูหน้าทวิตเตอร์เปะปะไปเรื่อยระหว่างรอกาแฟและขนมปังร้อน ๆ ปรุงเสร็จ กิจวัตรนี้เกิดขึ้นเป็นประจำแบบออโตไพลอต
โดยไม่ต้องใช้สติ สมาธิอะไร ฟีดก็ผ่านตาเราไปนับสิบแล้ว ราคาน้ำมันที่ขยับอย่างไม่ปราณี สถิติการติดโควิด-19 ประจำวัน ข่าวสงครามยูเครนที่รุนแรงขึ้นทุกที สนามเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ ตอนนี้ก็กำลังแอ็กทีฟกันได้ที่...
ยกแก้วกาแฟขึ้นมาเป่าให้หายร้อนก่อนจิบระหว่างสลับแอปพลิเคชันไปสู่อินสตาแกรม สงกรานต์ปีนี้เพื่อนเราบางคนหยุดงานล่วงหน้าไปเที่ยวยาวเหมือนตั้งใจจะใช้วันลาที่สะสมมาให้สาแก่ใจ แต่ที่น่าอิจฉากว่าคือคนที่ได้ไปดูคอนเสิร์ตที่ลาสเวกัสแล้วมาลงคลิปอวด เพื่อนอีกครอบครัวโพสต์อวดลูกน้อยเป็นปกติ แวะกดไลก์รูปน้องแมวนุ่มนิ่มหนึ่งฝูงแล้วหยิบขนมปังที่ปิ้งเสร็จแล้วกลับมากินที่ห้องตัวเอง บนหน้าจอตอนนี้ก็ปล่อยให้ไอจีสตอรี่พลิกหน้าไปเองจนจัดการมื้อเช้าจนหมด
หลังจากอมยิ้มให้รูปศิลปินคนโปรดที่ผ่านมาในไทม์ไลน์แล้ว เราก็ละสายตาจากมือถือมาที่หนังสือที่วางคว่ำอยู่บนแล็ปทอปหลังจากอ่านค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ถ้าตัดสินหนังสือกันจากปกแล้วล่ะก็ รูปเล่มกะทัดรัดสีขาวดำที่วางเลย์เอาต์ปกเลียนแบบหน้าหนังสือพิมพ์นี้ไม่โดดเด่นอะไร ต่างกับชื่อเรื่องที่ Rolf Dobelli – ผู้เขียนตั้งไว้ มันกระโดดออกมาจับความสนใจเราได้อยู่หมัด
“STOP READING THE NEWS” ถูกเขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ล้อเลียนการพาดหัวข่าว เสริมด้วยชื่อภาษาไทยว่า “มืดบอดเพราะอ่านข่าว”...คำที่บ่งบอกถึงความตีบตัน ไม่น่าไปด้วยกันกับกิจกรรมการรับรู้ข่าวสารได้เลย
นอกจากชื่อเรื่องโดน ๆ แล้ว เริ่มบทนำก็มาแรงเลย ผู้เขียนเล่าถึงการเหตุการณ์ที่เจ้าตัวลงเอยต้องไปพูดให้ทีมงานสำนักข่าวชั้นนำกว่าห้าสิบชีวิตฟังถึงบทความเผ็ดร้อนที่ชื่อ “New is bad for you” ของเขาว่า
‘ทำไมคนถึงควรเลิกอ่านข่าวได้แล้ว’
“...ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย ยอมรับความจริงกันเถอะครับว่าสิ่งที่พวกคุณกำลังทำกันอยู่ตอนนี้ (การรายงานข่าว) เป็นแค่การสร้างความบันเทิงเท่านั้น”
รอล์ฟ โดเบลลิ กล่าวปิดท้ายหลังการบรรยายยาวยี่สิบนาที
...โอมายกอด เราถึงกับอุทานในใจ เดาว่าผู้ฟังในวันนั้นก็ต้องมีคำนี้ผุดขึ้นมาในความคิดกันบ้างล่ะ ...ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?
ตลอดสามสิบกว่าบทความในเล่ม รอล์ฟบรรจงยกเอาเหตุผลมากมายมาอธิบายว่าทำไมการอ่านข่าวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นเป็นการเสียเวลาเปล่า แถมถ้าเสพสื่อฯ มาก ๆ เข้า มันจะพาให้ตรรกะการตัดสินใจของเราเป๋ปัดออกจากทิศทางที่ควรจะเป็นไปเสียอีกด้วย
ยังไม่หยุดแค่นั้น รอล์ฟบอกว่าข่าวทำให้เรารู้สึกต่ำต้อยกว่าความเป็นจริง ทำให้เรากลายเป็นคนเฉื่อยชา สมาธิสั้น ข่าวทำลายความคิดสร้างสรรค์ ทำลายจิตใจที่เคยสงบ และยิ่งไปกว่านั้นคือ ข่าวเป็นพื้นที่ส่งเสริมการก่อการร้ายชั้นดี!
อะไรมันจะขนาดนั้นอะ???
ระหว่างทางที่อ่านไป เรามีความคิดอยากจะแย้งเกิดขึ้นเป็นระยะ จนทำให้หนังสือเล่มนี้กลายเป็นเล่มหนึ่งที่เราทั้งขีดเส้น เขียนโน้ต พับมุมเพียบไปหมด จนต้องพักยกการเถียง เอ๊ย การอ่านไปกลางคันเมื่อคืนนี้
ยอมรับเลยว่าสำหรับเราที่รับฟีดจำนวนมากอยู่ทุกวัน กับมุมมองที่ว่า ‘ไม่ว่าคุณจะบริโภคข่าวจำนวนมากแค่ไหนก็ไม่ทำให้คุณฉลาดขึ้น’ นั้น มันยากที่จะคล้อยตามจริง ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าหากอ่านต่อ จะทำให้เราเขียนยุกยิกออกความเห็นไปจนสุดเล่ม หรือจะทำให้เรามองข่าวเปลี่ยนไปได้อย่างไร หรือสุดท้ายจะอ่านไม่จบ
เราย้ายหนังสือออกจากฝาแล็ปทอปไปวางไว้ข้าง ๆ แล้วเปิดเครื่อง ก่อนจะไปเถียงกับคุณรอล์ฟต่อ ขออ่านทวิตเตอร์เช็คไทม์ไลน์อีกสักแป๊บก่อนแล้วกันนะ
สามารถอ่านตัวอย่าง คลิก>> “STOP READING THE NEWS – มืดบอดเพราะอ่านข่าว” ของ Rolf Dobelli แปลโดย พรเลิศ อิฐฐ์ ของสำนักพิมพ์ WeLearn
สามารถย้อนอ่านบทความออนไลน์ คลิก >> “News is bad for you” ที่เป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้ ถูกเผยแพร่โดยสำนักข่าว The Guardian เมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 2013