เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร นับว่าเป็นเรื่องของคนเมืองกรุงฯ ที่เตรียมตัวเคานต์ดาวน์นับเวลาถอยหลัง ออกไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงครั้งสำคัญในรอบ 9 ปี ในวันที่ 22 พฤษภาคม 65 นี้ ซึ่งดูเหมือนว่าปีนี้สนามการเลือกตั้งจะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะมีผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. มากที่สุดในประวัติศาสตร์ เป็นจำนวน 31 คน แต่รู้หรือไม่ว่า ก่อนจะลงสมัครผู้ว่าราชการจังหวัดได้นั้น จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง
📌เปิด 5 คุณสมบัติผู้ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.
✅ มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
✅ อายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี นับจากวันเลือกตั้ง
✅ สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี หรือเทียบเท่า
✅ มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขต กทม. ติดต่อกันมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง
✅ ไม่มีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 50 พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2562
กำหนดตามระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2562 ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. จะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน และยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการสมัครครั้งนี้ เป็นจำนวนเงิน 50,000 บาทอีกด้วย แต่ถ้าหากว่าเจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจสอบภายหลังแล้วพบว่าผู้สมัครทำการทุจริต ปลอมแปลงเอกสาร หรือขาดคุณสมบัติในการสมัคร ก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย มาตรา 120 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท พร้อมสั่งให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งนานถึง 20 ปี
🔍เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
วันนี้ ALTV ขอเสริมเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ 5 ข้อเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้มาก่อน !
1. ครั้งแรกของการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.
การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เกิดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2518 หลังมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2518 โดยกำหนดให้มีการเลือกตั้ง กทม. และอยู่ในตำแหน่งตามวาระ 4 ปี โดยเป็นการเลือกแบบ “ยกคณะ” 5 คน ประกอบด้วย ผู้ว่าฯ 1 คน และรองผู้ว่าฯ 4 คน นอกจากนี้ยังเปิดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา กทม. (ส.ก.) พร้อมกันในคราวเดียว
2. ทำไมต้องเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ?
ก็เพราะว่า "กรุงเทพมหานคร" เป็นศูนย์กลางของความเจริญ ทั้งทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว รวมถึงมีประชากรนับสิบล้านคนกระจุกตัวอยู่ในเมืองหลวง โดยแต่ก่อน กทม. ก็เคยมีกำนัน หรือผู้ใหญ่บ้าน คอยบริหารบ้านเมือง แต่ในปี พ.ศ.2543 ได้มีการประกาศยกเลิกตำแหน่งเหล่านี้ออกไป ทำให้อำนาจหน้าที่การบริหาร การจัดสรรงบประมาณ ต้องตกไปอยู่ที่ผู้ว่าฯ กทม. เพียงคนเดียว
3. บทบาทการเป็นผู้ว่าฯ ต้องทำอะไรบ้าง ?
นอกจากการเป็น “พ่อเมือง” แล้ว ผู้ว่าฯ ยังคงเป็นศูนย์รวมของชาวกทม. ที่ต้องมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบค่อนข้างสูง สามารถตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้เลยทันที ไม่ว่าจะเป็นการจัดการพื้นที่ต่าง ๆ การบริการนับร้อย ประชาชนที่อาศัยอยู่ในกทม.นับสิบล้านชีวิต และงบประมาณที่ต้องใช้ในโครงการต่าง ๆ นับหมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังสามารถตัดสินใจใช้เงินได้โดยอิสระ พร้อมออกแบบระบบการบริหารของตนเองได้อีกด้วย
4. ผู้ว่าฯ ที่ครองตำแหน่งนานที่สุด ?
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร คว้าชัยชนะการเลือกตั้ง 2 สมัยติด และสามารถครองเก้าอี้ตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ยาวนานที่สุดในบรรดาผู้ว่าฯ คนอื่น ๆ เป็นเวลากว่า 6 ปี กับอีก 202 วัน แต่กลับต้องถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง กับข้อหาทุจริตโครงการประดับตกแต่งอุโมงค์ไฟ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ใช้งบถึง 39 ล้านบาท
5. ฐานเงินเดือน ผู้ว่าฯ กทม.
เรียกได้ว่าตำแหน่งผู้ว่าฯ หน้าที่ความรับผิดชอบสูงขนาดนี้ เงินเดือนก็ต้องมากไม่แพ้กัน จากข้อมูลราชกิจจานุเบกษา ได้กำหนดเงินเดือน งานเพิ่ม เงินค่าเบี้ยประชุม และเงินตอบแทนของผู้ว่าฯ กทม. โดยแบ่งเป็นเงินเดือน 72,060 บาท และเงินเพิ่มที่ได้มาจากงานภารกิจต่าง ๆ อีก 41,500 บาท รวมรายได้ต่อเดือนเป็นจำนวนเงิน 113,560 บาท และหากอยู่จนครบวาระ 4 ปี จะได้รับเงินทั้งสิ้น 5,450,880 บาท
อนาคตกรุงเทพฯ กำหนดได้ ติดตามชมและมีส่วนร่วมกับ “ปลุกกรุงเทพฯ เปลี่ยนเมืองใหญ่ เลือกตั้งผู้ว่าฯ 65” ไปด้วยกัน ผ่านทุกแพลตฟอร์ม