“ฮัลโหลพี่! วันนี้พี่ว่างมั้ย?!”
คำถามชัดแจ๋วดังออกมาจากลำโพงโทรศัพท์ที่เราคลำเปะปะไปกดรับสาย
“วันนี้... ตอนไหน...” เสียงแห้งของเราถามกลับไปแบบหัวยังไม่พ้นผ้าห่ม
“วันนี้! ตอนนี้พี่!!! ว่างมั้ย?!!”
“ฮะ?!?! ตอนนี้ วันนี้ ...หมายถึงตอนนี้เหรอ?!!” เราพลิกตัวเด้งออกจากเตียงอย่างไวยิ่งกว่าแมวสะดุ้งเสียงพลุตั้งแต่ปลายสายยังทวนคำตอบไม่ทันจบ “ใช่พี่ ได้ใช่มั้ย”
ด้วยสัญชาติญาณรักงานเยี่ยงชีพจากสมัยสาว ๆ เพียงแค่สมองพอจะจับใจความได้ว่า “ไปทำงาน!!!” ไม่ว่าจะงานเราหรือเข้างานแทนใคร ร่างกายของเราที่ถูกฝึกให้สแตนบายสำหรับตารางชีวิตที่ไม่เป็นรูทีนมาเป็นสิบปีก็ตอบสนองไปทันทีแบบออโต้ รับปากกับที่ทำงานเสร็จ วางหู คว้าผ้าขนหนู วิ่งผ่านน้ำ แต่งตัวทำทุกอย่างด้วยสปีดเกียร์หมา เพราะเวลาที่น้องแจ้งมาด่วน ๆ มันด่วนระดับที่สตาร์ทรถออกจากบ้านเดี๋ยวนี้ก็ยังช้าไป
...งานด่วนผ่านไปไวพอ ๆ กับตอนโดนโทรมาปลุก เรานั่งมึนคิดอะไรไม่ออกอยู่พักหนึ่ง พออะดรีนาลีนจากกิจกรรมตื่นตูมระบายออกไปหมดร่างกายก็เหมือนจะนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นานยังนอนม้วนอยู่บนเตียงเลย แต่เดี๋ยวยังมีรายการกะดึกตามเวลาปกติของเราอีกรอบ น้ำมันแพงและบ้านไกลเกินกว่าจะกลับไปพักเสียด้วยสิ ข้างนอกยังเป็นเวลาบ่ายแดดเปรี้ยง ซึ่งผิดปกติชีวิตตื่นบ่ายตาใสยามค่ำของเรามาก ๆ ตอนนี้รู้สึกเหมือนไฟแจ้งแบตเตอรี่พลังงานต่ำกำลังกระพริบ พริบ พริบ...
ก็อยากเอาตัวเองไปผึ่งแอร์ในห้างอยู่นะ แต่ตาปรือของเราบอกว่ากว่าจะฝ่าการจราจรไปถึง ได้หลับคารถก่อนแน่
เราใช้แบตขีดสุดท้ายลากขาเดินออกมาที่ร้านสะดวกซื้อฝั่งตรงข้ามตึก มองหามื้อสิ้นคิดแบบเอาให้หายหิวเป็นหลักแล้วตอนนี้ ใจอยากกินให้อิ่ม จะได้หนีไปหาที่งีบ (หาว...)
ก่อนขึ้นตึกเดี๋ยวแวะหยิบหนังสือที่รถขึ้นไปอ่านด้วยดีกว่า เรานึกถึงนวนิยายเกาหลีที่เลือกมาวันก่อนด้วยชื่อเรื่องล้วน ๆ
“ร้านไม่สะดวกซื้อของคุณทกโก” ก็ขำแหละว่าร้านสะดวกซื้อน่ะมีแน่ ๆ แล้วร้านไม่สะดวกซื้อนี่มันจะเป็นยังไง เคยเล่าถึงหนังสือชื่อ “มนุษย์ร้านสะดวกซื้อ” ในขยับแว่นคราวก่อนไปแล้ว ถ้าสนุกจะได้เอามาเล่าต่ออีกเล่ม
แม้ฉากหลักของนิยายทั้งสองเรื่องจะเป็นร้านสะดวกซื้อเหมือนกัน แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ไม่ว่าจะเป็นสภาพของร้านที่ไม่ตรงมาตรฐาน บุคลิกของตัวละครที่ไม่น่าจะเข้ากันกับสังคมทุนนิยมที่เน้นฟังก์ชันเป็นหลักอย่างธุรกิจมินิมาร์ท
แทนที่ร้านจะทำตัวให้สมกับประเภทของกิจการ ด้วยการบริการให้ลูกค้าได้เลือกซื้อของจ่ายเงินและไปต่อได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
สินค้าที่หาได้ทั่วไปอย่างเช่น ข้าวกล่อง ข้าวปั้นสามเหลี่ยม เบียร์แพคสี่กระป๋อง รามย็อนสำเร็จรูป ข้าวห่อสาหร่ายคิมบับ โซจู กลับกลายมาเป็นของกินที่เชื่อมคนแปลกหน้าที่ล้วนถูกตีตราว่าเป็นคนชายขอบให้ได้มามีพื้นที่ที่จุดแวะพักที่ร้านสะดวกซื้อที่ชื่อ “ออลเวย์ส” แห่งนี้
.............
“เวลาเศร้าต้องกินข้าวโพด... ชาไหมข้าวโพดดีนะครับ”
“คุณทกโก” พนักงานคนล่าสุดของร้าน ผู้เคยเป็นอดีตคนไร้บ้านหมาด ๆ จากหน้าสถานีรถไฟโซล ยื่นขวดพลาสติกแช่เย็นให้กับตัวละครหนึ่งที่ดวงตายังชุ่มด้วยการร้องไห้ เครื่องดื่มสีเหลืองนี้ไม่ได้แปะป้ายสรรพคุณพิเศษกินแก้เศร้าไว้แต่อย่างใด แต่ชาไหมข้าวโพดก็ได้ทำหน้าที่เป็นเครื่องดื่มรักษาใจให้กับหลายคน รวมถึงคุณทกโกเองด้วย
“ร้านสะดวกซื้อเป็นสถานที่ที่ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินเข้าออก มันคือสถานที่ที่ทุกคน ไม่ว่าลูกค้าหรือพนักงานจะหยุดชั่วครู่ก่อนจะเดินต่อไป เป็นดั่งปั๊มน้ำมันที่แวะมาเพื่อเติมเต็ม ที่ปั๊มน้ำมันเเห่งนี้ ผมไม่ได้เเค่มาเติมน้ำมันเท่านั้น แต่ได้มาซ่อมรถด้วย เมื่อซ่อมเสร็จแล้วก็ต้องเดินทางต่อ”
เราเปิดเข้าไปสู่ร้านไม่สะดวกซื้อแห่งนี้ตลอดบ่าย สุดท้ายก็ไม่ได้งีบ ไม่รู้ที่ไม่หลับนั้นเป็นเพราะเพลิดเพลินกับการแก้ปัญหาทึ่ม ๆ ของคุณทกโก หรือเป็นเพราะความแรงของกาแฟที่ซื้อมา
.............
“ลาเต้เย็นไม่หวานแก้วใหญ่?” พนักงานพูดรายการกาแฟออกมาเป็นเชิงถามว่าเอาอย่างเดิมใช่ไหม แอบแปลกใจนิดหน่อยที่จำเมนูประจำของเราได้ทั้งที่ตอนนี้ไม่ใช่กะปกติที่เราจะมาใช้บริการ เราพยักหน้าพร้อมยิ้มอ่อนแรงให้หนึ่งทีก่อนเดินไปยื่นอาหารที่เคาน์เตอร์จ่ายตังค์ให้เข้าไมโครเวฟให้
จริง ๆ การที่พนักงานคนเมื่อกี๊จำได้ว่าเรากินกาแฟอะไร โดยที่เราไม่ต้องย้ำว่าไม่หวานคือ “แบบไม่หวานเลย” ทุกครั้งนี่ก็ดีเหมือนกันนะ ไม่นึกว่าจะได้รับบริการแบบเดียวกับบาริสต้าคาเฟ่ ทำให้ประหยัดแรงไปได้อีกนิดนึง
เสียดายที่พนักงานคนนั้นไม่ได้ชื่อคุณทกโก ไม่อย่างนั้นคราวหน้าจะได้ถามหาว่ามีชาไหมข้าวโพดขายด้วยไหม
สามารถฟังตัวอย่างของ “ร้านไม่สะดวกซื้อของคุณทกโก” << คลิก โดย คิมโฮย็อน แปลโดย มินตรา อินทรารัตน์ ในรูปแบบหนังสือเสียง (40 นาที)
เรื่อง : พัดชา เอนกอายุวัฒน์ // ภาพประกอบ : ณภัค ภูมิชีวิน