มัสมั่น ได้รับฉายาว่าเป็น “ราชาแห่งเครื่องแกง” ด้วยรสชาติที่เข้มข้นเป็นเอกลักษณ์ ผสมผสานทั้งความเผ็ดร้อน ความหวาน และความหอม ด้วยนานาเครื่องเทศกลมกล่อม จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก ถูกปากติดใจของชาวต่างชาติ จนได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมนูที่อร่อยที่สุดในโลกอยู่หลายสมัย โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2560 จากสื่อต่างประเทศอย่าง CNN Travel และปัจจุบันแกงมัสมั่นยังคงครองบัลลังก์เป็นแชมป์อาหารที่อร่อยที่สุดในโลกตลอดมา
หากย้อนกลับไปในอดีต มีหลายคนที่เคยถกเถียงกันว่าแกงมัสมั่น เป็นอาหารของคนไทยจริงหรือ บ้างก็บอกว่าเป็นอาหารของประเทศอินเดีย พม่า หรือ บังกลาเทศ แต่ความจริงแล้ว แกงมัสมั่น เป็นอาหารในพระราชวัง มีต้นตำรับมาจากประเทศอินเดียในราชวงศ์โมกุล เมื่ออยู่ในเทศกาลถือศีลอด หรือการเฉลิมฉลองในพิธีต่าง ๆ และมักเป็นอาหารที่ใช้เสิร์ฟให้กับแขกคนสำคัญ หรือแขกบ้านแขกเมืองอีกด้วย ซึ่งก่อนจะเริ่มเข้ามาในประเทศไทย ได้สันนิษฐานว่ามัสมั่น ได้รับอิทธิพลมาจากอาหารทางมลายู แถบประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน และภาคใต้ของไทย
ซึ่งเข้ามาโดยแขกเจ้าเซ็นจากทางเปอร์เซีย และคนไทยได้ปรับสมดุลของสมุนไพร เครื่องเทศ และเครื่องแกงให้มีความกลมกล่อม ทำให้มัสมั่นของไทยเป็นที่ชื่อชอบของคนทั่วโลก
มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา
เป็นกาพย์ที่ทุกคนมักจะคุ้นชินจากบทเรียนในสมัยเด็ก ๆ ซึ่งเป็นหลักฐานให้เห็นว่า มัสมั่นเป็นอาหารที่มีมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมทางอาหารของไทย จนกระทั่งในยุคของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งยุครัตนโกสินทร์ ได้มีการแต่งกาพห์เห่ชมเครื่องคาวหวาน เพื่อชมฝีพระหัตถ์ในการปรุงเครื่องเสวยของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ซึ่งกล่าวถึงอาหารคาวทั้ง 15 ชนิด ได้แก่ แกงมัสมั่นไก่ ยำใหญ่ ตับเหล็กลวก หมูแนม ก้อยกุ้ง แกงเทโพน้ำยา แกงอ่อม ข้าวหุงเครื่องเทศ แกงคั่วส้ม พล่าเนื้อ ล่าเตียง หรุ่ม ไตปลา แสร้งว่า และอาหารหวานอย่างรังนก ซึ่งจะเห็นได้ว่า แกงมัสมั่นนั้นถูกบันทึกว่าเป็นหนึ่งในเมนูอาหารตำรับไทยโบราณมาอย่างยาวนาน
ปัจจุบันสูตรการทำแกงมัสมั่นได้การวิวัฒนาการ เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย มีสูตรใหม่ ๆ ผุดขึ้นมากมาย วันนี้จึงขอยกตัวอย่างสูตรของ “หม่อมช่มจีน”
ซึ่งได้เขียนตำรากับเข้าไว้เมื่อ 130 ปีที่แล้ว ไว้ว่า รสชาติตามทำเนียมแขก ต้องมีความหวาน ความเปรี้ยวจากน้ำส้มซ่า ความเค็มจากเกลือทะเล ชุ่มคอด้วยนานาเครื่องเทศ และสมุนไพร นอกจากนี้แกงมัสมั่นต้องมีความเผ็ดร้อนจากพริกบางช้าง เพื่อให้หน้าตาของอาหารมีสีสันสดใสหน้ารับประทานนั่นเอง
นอกจากจะเป็นอาหารที่ถูกขนานนามว่าอร่อยที่สุดในโลกแล้ว ยังถือว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย ด้วยนานาสมุนไพรที่อยู่ในเมนูอาหารนี้ ได้แก่
ยี่หร่า : อุดมด้วยวิตามินซีและแคลเซียม ช่วยขับเหงื่อออกจากร่างกาย แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ขับลมในลำไส้ และมีส่วนช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร
อบเชย : สามารถลดความดันโลหิตในคนได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยการทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยเพิ่มการไหลเวียนและช่วยให้หัวใจของคุณแข็งแรง
กระเทียม : นับว่าเป็นส่วนผสมสําคัญในน้ำพริกแกง ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด หากกินเป็นประจํามีผลช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งลําไส้ใหญ่ได้อีกด้วย
หอมแดง : สารสกัดจากหอมแดง มีคุณสมบัติ ต้านการอักเสบ ต้านการเจริญของเซลล์มะเร็ง และไม่ทําลายเซลล์ปกติที่อยู่ใกล้เคียงอีกด้วย
พริก : เป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ ในการทำเครื่องปรุงพริกแกง ซึ่งในพริกนั้นมีสารแคปไซซิน ซึ่งมีคุณสมบัติต้านเซลล์มะเร็ง
โป๊ยกั๊ก : ในประเทศแถบเอเชีย โป๊ยกั๊กถูกนำมาใช้เป็นยาแผนโบราณ เช่น ป้องกันโรคผิวหนังอักเสบ โรคปวดข้อ โรคหอบหืด และโรคหลอดลมอักเสบ และยังเชื่อว่าสามารถต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส
ส่วนใหญ่แล้ว มัสมั่นที่เราเคยได้กินตามร้านอาหาร มักจะมีส่วนผสมที่เป็นเนื้อไก่อยู่เสมอ แต่เมื่อพอเวลาผ่านไป ไอเดียสุดบรรเจิดได้เกิดขึ้น กับเมนูมัสมั่นสุดแปลกที่คุณอาจไม่เคยได้ลองชิม ได้แก่ เนื้อวัว เนื้อน่องลาย ซี่โครงแกะ ปลาโอ เป็ด และไข่นกกระทา เป็นต้น
ชื่อเรียกที่มาจากภาษาเปอร์เซีย ใช้ชื่อว่า “มุสลิมมาน” ซึ่งหมายถึง ชาวมุสลิม และเพี้ยนมาเป็น “มัสมั่น” ของชาวภาคเหนือ กลาง และอีสานจนถึงทุกวันนี้ ส่วนภาคใต้มีชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า “ซาละหมั่น” นั่นเอง
ปิดท้ายเกร็ดความรู้ที่ซ่อนอยู่ในคำเหล่านี้
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องราวของแกงมัสมั่นที่ซ่อนอยู่มากมาย ออกเดินทางตามไปเรียนรู้กันได้ในสารคดี“ภาคภูมิไทย ซีซัน 2” ทาง ไทยพีบีเอส << (คลิกชมคลิปเลย)