หากถามเด็ก ๆ ว่าชอบวิชาอะไร “ภาษาไทย” อาจไม่ใช่วิชาในใจอันดับต้น ๆ อาจเป็นเพราะภาษาไทยมีหลักไวยากรณ์ที่ซับซ้อน ไหนจะโคลงกลอนและอาขยานต่าง ๆ ส่วนใหญ่มักสอนให้ “ท่องจำ” เพื่อใช้ในการสอบมากกว่าการนำไปเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน จริงอยู่ที่การเรียนแบบท่องซ้ำ ๆ ทำให้เราจำได้ขึ้นใจ แต่บางครั้งก็เริ่ม “ง่วง” และเกิดความเบื่อหน่าย เพราะสมองไม่ได้ถูกกระตุ้นให้ใช้จินตนาการและความเข้าใจ สุดท้ายกลายเป็นว่าไม่ชอบวิชาภาษาไทยไปเลย
เมื่อพูดถึงโลกแห่งการเรียนการสอน ผอ.วิเชียร ไชยบัง “ครูใหญ่โรงเรียนนอกกะลา” นักจิตวิทยาการศึกษา ท่านได้กล่าวว่า ทุกภาษาในโลกมีแนวคิดการเรียนการสอนอยู่ 2 แบบ ได้แก่
ดังนั้นในโลกนี้ก็มีเทคนิคมากมายที่ช่วยให้เรียนรู้ภาษาได้สนุกยิ่งขึ้น และเพื่อเป็นการ “ออกจากกรอบการท่องจำ” ALTV จึงขอแนะนำวิธีง่าย ๆ ในการเรียนรู้ภาษาไทยอย่างมั่นใจและมีความสุข ซึ่งคุณครู ผู้ปกครอง และคนทั่วไปสามารถนำประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนได้อย่างร่วมสมัย
นิทาน ตำนาน นวนิยาย หรือเรื่องสั้น ล้วนเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อบอกเล่าเรื่องราวด้วยภาษาที่ไพเราะ เรียบง่าย และมีภาพประกอบที่สวยงาม จึงมีความน่าสนใจมากกว่าตำราเรียนพื้นฐานทั่วไป
หนังสือวรรณกรรมนั้นเต็มไปด้วยวลี สำนวน คำอุปมาอุปไมย ร้อยกรอง มีประโยชน์ช่วยพัฒนาความสามารถเรื่องการสื่อสาร อ่านออก เขียนได้ นอกจากนี้ผู้อ่านยังได้ฝึกจับใจความ การตีความ สร้างความเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง และนำไปสู่นิสัย "รักการอ่าน"
การเรียนภาษาไทยผ่านวรรณกรรมเป็นเทคนิคหนึ่งที่ได้ต้นแบบมาจาก “โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จ.บุรีรัมย์” โดยวางแผนหลักสูตรให้กับนักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมัธยมต้น เป้าหมายเพื่อให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้การสื่อสาร ฝึกการเชื่อมโยงภาษา จัดการระบบความคิด ฝึกวิเคราะห์ และนำสาระที่ได้มาช่วยการตัดสินใจ แก้ไขปัญหา ซึ่งในแต่ละเทอม แต่ละระดับชั้น ก็จะเลือกวรรณกรรมที่แตกต่างกันออกไป ตัวอย่างวรรณกรรม เช่น
5 เคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะช่วยให้เรียนรู้ภาษาไทยผ่านการอ่านวรรณกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เสียงเพลง” เป็นสื่อการเรียนรู้ที่ “สนุก”และช่วยเรื่องการ “จดจำ” ง่ายที่สุด แถมเด็ก ๆ ยังสามารถเรียนรู้ได้แม้หลังเลิกเรียน เนื้อร้องและท่วงทำนองที่อยู่ในบทเพลงจะช่วยดึงดูดความสนใจ ทำให้เด็กรู้สึกเพลิดเพลินควบคู่กับการฟังคำศัพท์และฝึกการออกเสียง ลองสังเกตดูสิว่า เด็กเล็กทั้งหลายเรียนรู้คำพูดและท่าทางต่าง ๆ ได้อย่างไร หากไม่ใช่จากเพลงที่คุณครูและผู้ปกครองเปิดให้ฟังซ้ำ ๆ เช่น เพลงช้าง ช้าง ช้าง น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า หรือเพลงก. เอ๋ย ก. ไก่ นั่นก็หมายความว่าบทเพลงนั้นทำหน้าที่เป็นครูภาษาไทยได้ดีทีเดียว
นอกจากนี้ เพลงฮิตติดกระแส เพลงลูกทุ่ง หรือเพลงดังยุคเก่า ยังเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมการใช้ภาษา คำพูดติดปาก หรือค่านิยมของสังคมในแต่ละช่วง เพลงบางเพลงยังมีสัมผัสนอก สัมผัสใน คล้ายกลอนแปดซึ่งนำมาปรับใช้ในวิชาเรียนได้ ยกตัวอย่าง เพลง รักคือฝันไปของ สาว สาว สาว
รักมิใช่ ดวงดาว เมื่อพราวแสง
ใช่ร้อนแรง ดั่งแสง อาทิตย์ส่อง
รักมิใช่ ภูผา สุดจับจอง
ใยใครมอง หารัก กันทำไม…
สรุปคือ “เพลง” เป็นสื่อที่ช่วยในการจดจำคำศัพท์และหลักไวยากรณ์ได้ดีกว่าการพูดเพียงอย่างเดียว เรียกได้ว่าได้ทั้งความสนุกและทักษะด้านภาษาไปพร้อม ๆ กัน
ในแง่ของการเรียนรู้ ละคร ซีรีส์ หรือภาพยนตร์ ถือเป็นสื่อรูปแบบหนึ่งที่ให้ประโยชน์หลายด้าน เช่น มอบประสบการณ์สุดตื่นเต้น สร้างแรงบันดาลใจ เสียงหัวเราะ ช่วยเยียวยาจิตใจ และให้ความรู้ใหม่ ๆ ในขณะเดียวกันก็ช่วยพัฒนาทักษะด้านภาษาได้อย่างน่าสนใจ เพราะได้อรรถรสทั้งภาพและเสียง เนื้อเรื่องหลากหลาย มีเหตุการณ์สมมติที่เต็มไปด้วยบทสนทนาและคำศัพท์ ผู้เรียนจะได้ใช้ประสาทสัมผัส 2 อย่าง คือ การมองเห็นและการได้ยิน ทำให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ละครและภาพยนตร์มีหลายแนวให้เลือก ต่างคนต่างชอบไม่เหมือนกัน แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรเลือกแนวที่ “เหมาะสม” กับการเรียนรู้ภาษาไทยให้สนุกกว่าเดิม ยกตัวอย่างการดูละครย้อนยุค แนวข้ามเวลาและจักร ๆ วงศ์ ๆ เช่น บุพเพสันนิวาส, ทวิภพ, สี่ยอดกุมาร, ขวานฟ้าหน้าดำ, สิงหไกรภพ ผู้ชมจะได้เรียนรู้ภาษาของคนสมัยก่อน มีคำศัพท์โบราณ คำราชาศัพท์ รวมทั้งความรู้ทางประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต การแต่งกาย และอาหารการกินที่สอดแทรกตลอดทั้งเรื่อง เช่น ละคร “จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี” แม้เรื่องราวตัวละครจะใช้ภาษาพม่าเสียส่วนใหญ่ แต่ผู้ชมจะได้ค้นคว้าและเรียนรู้รากศัพท์คำไทยที่ยืมมาจากภาษาพม่า เช่น คำว่า “จวน” หมายถึงบ้านพักเจ้าเมือง และคำว่า “ส่วย” หมายถึงเชลย เป็นต้น รวมถึงความรู้ด้านวรรณกรรมเรื่อง “อิเหนา”
ทุกคนต่างรู้อยู่แล้วว่า ข้อดีของการเล่นเกมคือคลายเครียด แต่ประโยชน์ที่เหนือกว่านั้นคือการได้พัฒนาสมองและฝึกความจำไปพร้อม ๆ กัน มีงานวิจัยพบว่า “เกม” ควรเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนภาษาของเด็ก ๆ เพื่อเสริมประสบการณ์ด้านภาษาและการนำไปใช้ รูปแบบของเกมที่มีการแข่งขัน หรือตะลุยให้ผ่านแต่ละด่านจะช่วยกระตุ้นความพยายามและความตั้งใจเพื่อชัยชนะ
อีกหนึ่งข้อดีของการเรียนรู้ภาษาไทยผ่านเกม ช่วยลดอาการกลัวความผิดพลาด หากผิดก็เริ่มเล่นใหม่ได้ ต่างจากการเรียนในห้องเรียนที่มีความกดดันมากกว่า เพราะกลัวว่าเมื่อผิดแล้วจะโดนตำหนิหรือลงโทษ ทำให้ขาดความมั่นใจในการใช้ภาษา สำหรับเกมฝึกภาษาไทยที่น่าสนใจ สามารถนำไปปรับใช้ในการเรียนออนไลน์ได้อย่างไม่น่าเบื่อ เช่น
ความสุขของการได้เล่นบทบาทสมมติ คือ เราจะเป็น “ใครก็ได้” ที่อยากเป็น เช่น เจ้าหญิง นักรบ ซูเปอร์ฮีโร เศรษฐี หรือคนดัง ได้ตามจินตนาการ อีกทั้งยังทำให้กล้าแสดงออก กล้าพูด กล้าสื่อสารมากขึ้น
การแสดงหรือการสวมบทบาทเป็นสื่อการเรียนรู้ที่มีความเป็นธรรมชาติ มีหัวใจสำคัญอยู่ที่การสื่อสารที่ออกมาจากความคิด และการใช้ภาษาที่สร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังช่วยสร้างการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เรียนรู้ที่จะเข้าใจความคิดและความรู้สึกของตัวละครที่ได้สวมบทบาท
ประโยชน์ของการเรียนภาษาจากการแสดง คือการได้เรียนรู้ “คำศัพท์” หรือ “โครงสร้างประโยคใหม่” จากการพูดซ้ำ ๆ ตามบทบาทและสถานการณ์ที่ได้รับ ซึ่งมีส่วนช่วยเรื่อง “การจดจำ” แตกต่างจากการให้ท่องจำแบบที่ใช้ในห้องเรียน ตรงที่สถานการณ์ในละครมีความหลากหลาย ช่วยเปิดโอกาสให้เรานำสิ่งที่เรียนรู้ได้มาใช้ในชีวิตจริง
มีการศึกษาพบว่า การนำนิทานพื้นบ้านหรือวรรณคดีไทยมาจัดกิจกรรมให้นักเรียนสวมบทบาทสมมติ ช่วยเพิ่มทักษะการอ่านภาษาไทยได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นักเรียนเกิดความสนุกสนานและสนใจเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ
เคล็ดลับความสำเร็จในการสวมบทบาทในห้องเรียน
การเรียนรู้ภาษาไทยไม่ได้ถูกจำกัดแค่ในห้องเรียนหรือการท่องจำแบบเดิม ๆ ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา สุดท้ายแล้วเป้าหมายของการเรียนภาษาก็เพื่อการสื่อสารตามความต้องการ เข้าใจความหมาย สามารถนำไปใช้ต่อยอดการเรียนรู้ใหม่ ๆ ในชีวีต
💡คำศัพท์น่าสน
อุปสรรคในการเรียนออนไลน์ของเด็ก ๆ ใน ยุค New Normal มีทางออกเสมอ สามารถเรียนรู้แนวทางที่ "เข้าท่า" จากกูรูด้านการศึกษาได้ในรายการ ครูที่ปรึกษา (คลิก)
ขอบคุณข้อมูล: การเรียนรู้ด้วยหนัง (Learning by Cinemas : LBC) โดยพันเอก ดร.สุชาต จันทรวงศ์, คู่มือเขียนแผนออนไลน์โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา, แอ็คชั่นเอด ประเทศไทย