ALTV All Around
ALTV News
บทความอื่นจาก Thai PBS
ALTV All Around
ALTV News
บทความ Thai PBS
กสศ.เปิดรายงาน 2566 – 2567 เด็กไทยหลุดนอกระบบการศึกษา 1.02 ล้านคน
แชร์
ฟัง
ชอบ
กสศ.เปิดรายงาน 2566 – 2567 เด็กไทยหลุดนอกระบบการศึกษา 1.02 ล้านคน
31 พ.ค. 67 • 11.29 น. | 538 Views
ขนาดอักษร : กลาง
ALTV CI

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดรายงานพิเศษ “ความจริงและความเร่งด่วน ของสถานการณ์เด็กนอกระบบในประเทศไทย” พัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ระบุว่า จากการประมวลงานวิจัย องค์ความรู้และข้อค้นพบในพื้นที่การทำงานของ กสศ. ร่วมกับภาคีทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 2562-2567 พบสถานการณ์เด็กเยาวชนนอกระบบ อายุระหว่าง 3-18 ปี ที่ไม่มีข้อมูลในระบบการศึกษา ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 1,025,514 คน หรือร้อยละ 8.41 ของเด็กและเยาวชนอายุ 3-18 ปีทั้งหมด (12,200,105คน)

 

ในจำนวนนี้ พบว่า เป็นเด็กที่อยู่ในช่วงวัยการศึกษาภาคบังคับ (ป.1 -ม.3) หรืออายุ 6-14 ปี จำนวนทั้งสิ้น 394,039 คน คิดเป็นร้อยละ 38.42 ของเด็กและเยาวชนที่ไม่มีข้อมูลในระบบการศึกษา โดยจังหวัดที่มีเด็กและเยาวชนช่วงวัยการศึกษาภาคบังคับ (ป.1-ม.3) หลุดจากระบบการศึกษาสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 61,609 คน รองลงมาคือ ตาก 41,285 คน, สมุทรสาคร 20,277 คน, เชียงใหม่ 16,847 คน และสมุทรปราการ 14,349 คน 


 

นอกจากนี้ จากงานวิจัยเชิงสํารวจเพื่่อศึึกษาข้อมูลของเด็กนอกระบบการศึึกษาภายใต้ “โครงการการสนับสนุนและพัฒนากลไกการขับเคลื่อนครูและเด็กนอกระบบการศึกษา” ของ กสศ. ที่ได้จากการเก็บข้อมูลจากองค์กรเครือข่าย 67 องค์กร จำนวนกลุ่มตัวอย่างเด็กนอกระบบการศึกษา 35,003 คน

 

พบว่า เด็กนอกระบบส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาสูงสุดอยู่ในระดับชั้นมัธยมต้น (ร้อยละ 24.25) ขณะที่ร้อยละ 10.63 ไม่เคยได้รับการศึกษาเลย ส่วนเด็กนอกระบบที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียนและไม่มีเอกสารยืนยันตัวตนบุคคล ส่วนใหญ่มีวุฒิการศึกษาสูงสุดในระดับประถมต้น (ร้อยละ 30.73) โดยอาชีพของผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่มีงานประจำ-รับจ้างรายวัน (ร้อยละ 47.11) สะท้อนถึงความไม่มั่นคงด้้านรายได้้ของครอบครัว และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทําให้เด็กออกนอกระบบการศึึกษา

 

ส่วนสาเหตุของการออกนอกระบบการศึกษา อันดับ 1 มาจากความยากจน (ร้อยละ 46.70), รองลงมาคือ ปัญหาครอบครัว (ร้อยละ 16.14), ออกกลางคัน/ถูกผลักออก (ร้อยละ 12.03), ไม่ได้รับสวัสดิการด้านการศึกษา (ร้อยละ 8.88), ปัญหาสุขภาพ (ร้อยละ 5.91), อยู่ในกระบวนการยุติธรรม (ร้อยละ 4.93) และได้รับความรุนแรง (ร้อยละ 3.63)


 


พัฒนะพงษ์ กล่าวว่า เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลเด็กนอกระบบการศึกษาเป็นรายกรณี พบว่า เด็กเผชิญกับปัญหาที่โยงใยซับซ้อนมากกว่า 1 ปัญหา โดยที่ไม่สามารถแก้เพียงเรื่องหนึ่งเรื่องใดแล้วจะหลุดพ้นจากวิกฤตได้ ซึ่งปัจจัยที่กระทบต่อการออกนอกระบบการศึกษา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงปัญหาครอบครัวแตกแยก การใช้ความรุนแรง การย้ายถิ่นฐาน ทัศนคติของผู้ปกครองที่ไม่เห็นความสำคัญของการศึกษา ให้ทํางานช่วยเหลือครอบครัว

 

“ยังมีปัจจัยด้านพฤติกรรม สุขภาวะของนักเรียน เช่น เผชิญความเสี่ยงกับยาเสพติด ตั้งครรภ์ในวัยเรียน เด็กพิการหรือเจ็บป่วย ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม การตกเป็นเหยื่อของการถูกรังแก ถูกบูลลี่ ล้อเลียน เด็กโตเกินกว่าที่กลับมาเรียนซ้ำชั้น”

 

ขณะที่ ปัจจัยด้านครูและสถานศึกษา ก็มีผลต่อสถานการณ์นี้เช่นกัน โดยเฉพาะกรณีที่เด็กมีทัศนคติไม่ดีต่อการเรียนนั้น โรงเรียนและครูมีส่วนสำคัญที่จะช่วยดึงเด็กไม่ให้หลุดออกไปจากการศึกษา ทำให้เห็นประโยชน์ของการเรียน โดยพบว่า มีสาเหตุมาจากขาดการสื่อสารระหว่างโรงเรียนและผู้ปกครอง หลักสูตรรายวิชาไม่ตอบโจทย์ชีวิต  มุ่งเน้นเรียนเพื่อแข่งขัน ลักษณะของครูผู้สอน ทั้งการลงโทษ การใช้ความรุนแรงทั้งโดยวาจาและการกระทำ ภาระงานที่ได้รับมอบหมาย เช่น การบ้าน การส่งงาน เป็นต้น

 

ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของโครงการวิจัยเรื่อง “การคาดการณ์อนาคตการศึกษาทางเลือก” (Foresight for Alternative Education) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ร่วมกับกสศ. ระบุว่าหนึ่งในผลกระทบต่อโอกาสการศึกษาของเยาวชนผู้ด้อยโอกาส คือ ความผิดหวังต่อระบบการศึกษา ซึ่งสร้างผลกระทบลบ ทำให้เยาวชนขาดแรงจูงใจ ความตั้งใจ และความทุ่มเทในการเข้ารับการศึกษาเพราะไม่เห็นถึงประโยชน์ที่จะได้รับ เยาวชนต่อต้านการศึกษาทุกรูปแบบ

 

"การทำความเข้าใจเด็กนอกระบบ เป็นเรื่องสำคัญมากเพราะปัญหานี้ซับซ้อน และสั่งสมมายาวนาน สำคัญที่สุดคือต้องช่วยอย่างเข้าใจในเงื่อนไขชีวิตเด็ก ออกแบบการเรียนรู้และให้การสนับสนุนเขาในแบบที่เหมาะสมกับตัวเขาที่สุด”


 

ออกแบบการศึกษาให้หลากหลาย สอดคล้องความต้องการ แก้เด็กหลุดจากระบบ

พัฒนะพงษ์ กล่าวว่า เพื่อแก้โจทย์นี้ กสศ. มีข้อเสนอว่า รูปแบบการศึกษาของเด็กนอกระบบการศึกษาต้องออกแบบให้มีความหลากหลายสอดคล้องกับความต้องการของเด็ก ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ใหญ่ คือ กลุ่มเด็กที่ต้องการกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา และกลุ่มเด็กที่ไม่มีความประสงค์จะเข้าสู่ระบบการศึกษาแต่มีความต้องการประกอบอาชีพ 

 

การส่งเสริมการศึกษาของเด็กกลุ่มที่กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาสามารถดำเนินการได้ทันที เนื่องจากมีแรงจูงใจและความพร้อม แต่เด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการประกอบอาชีพโดยไม่ต้องการศึกษาต่อ จะยังขาดแรงจูงใจและความพร้อมในกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ดังนั้น ควรได้รับการศึกษาในรูปแบบของการศึกษาเพื่อการประกอบอาชีพ ซึ่งจะทำให้เด็กกลุ่มนี้ได้รับการศึกษา ไปพร้อมกับรายได้จากการประกอบอาชีพตามเป้าหมายของตัวเอง 

 

โดยกำหนดลักษณะของรูปแบบการศึกษาได้ 3 ประการคือ ต้องให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ที่ไหนก็ได้ (anywhere) เรียนเมื่อไรก็ได้ (anytime) และเรียนอะไรก็ได้ตามที่ตนเองสนใจ (anything) รวมถึงอาจใช้รูปแบบการเรียนแบบออนไลน์ ระบบธนาคารหน่วยกิต (credit bank) เพื่อสะสมและใช้เทียบโอนคุณวุฒิการศึกษาสำหรับการสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานต่อไปได้ เพื่อให้เด็กมีความพร้อมใช้เรียนได้อย่างมีคุณภาพและต่อเนื่อง


 

ครม. ออก 4 มาตรการ Thailand Zero Dropout

ขณะที่ความเคลื่อนไหวในการแก้ปัญหานี้ของรัฐบาล ล่าสุด เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังนี้

 

1.มาตรการค้นหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาผ่านการบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การค้นพบเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ดังนี้ 1) บูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลของเด็กและเยาวชนระหว่างหน่วยงาน โดยเฉพาะข้อมูลของ ศธ. ข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของ มท. รวมทั้งข้อมูลจากหน่วยงานอื่น มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงพัฒนาสังคมฯ, กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุขและ 2) พัฒนาระบบสารสนเทศกลางในระยะยาวเพื่อรองรับการบูรณาการข้อมูลและการค้นหาให้มีประสิทธิภาพและแต่งตั้งคณะกรรมการกลางระดับชาติต่อไป โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นองค์ประกอบ มอบหมายให้คณะกรรมการระดับชาติ

 

2.มาตรการติดตาม ช่วยเหลือ ส่งต่อ และดูแลเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา โดยบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความเหมาะสมในการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนแต่ละรายทั้งด้านการศึกษา สุขภาวะ พัฒนการ สภาพความเป็นอยู่ และสภาพสังคม ดังนี้ 1) จัดการศึกษาเชิงพื้นที่แบบบูรณาการด้วยกลไกคณะกรรมการระดับจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน มอบหมายให้คณะกรรมการระดับจังหวัด และ 2) ช่วยเหลือ ดูแล และส่งต่อเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาด้วยระบบการช่วยเหลือและส่งต่อสำหรับเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาเป็นรายกรณี และการบูรณาการของหน่วยงานในพื้นที่ ทั้งนี้ การปฏิบัติงานระดับพื้นที่อาจจะดำเนินการโดยศูนย์ปฏิบัติการแบบเบ็ดเสร็จระดับตำบล “ศูนย์ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระดับตำบล” โดยให้อยู่ในความดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบลหรือเทศบาล มอบหมายให้ มท. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น พม. ศธ. สธ. และ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)

 

3.มาตรการจัดการศึกษาและเรียนรู้แบบยืดหยุ่น มีคุณภาพ และเหมาะสมกับศักยภาพของเด็กและเยาวชนแต่ละราย มีเป้าหมายเพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาและพัฒนาเต็มศักยภาพของตนเอง ดังนี้ 1) จัดการศึกษาหรือการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น โดยให้การรับรองคุณวุฒิหรือเทียบโอนคุณวุฒิการศึกษา/ใบประกอบอาชีพหรือวิชาชีพระหว่างการจัดการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย 2) ยกระดับการมีส่วนร่วมของหน่วยงานและองค์กรระดับพื้นที่ ท้องถิ่น ชุมชน องค์กรทางศาสนา ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้การจัดการศึกษาตามอัธยาศัยมีความยืดหยุ่นเหมาะสมกับพื้นที่และสภาพสังคม และ 3) ส่งเสริมการจัดการศึกษาหรือเรียนรู้ควบคู่กับการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการภาคเอกชน เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ วิชาชีพของเด็กและเยาวชนในการทำงานจริงให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและให้มีรายได้เสริมในระหว่างการศึกษา โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่จัดการศึกษาหรือเรียนรู้ในสังกัด ศธ. ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ เช่น ดศ. มท. รง. หน่วยจัดการเรียนรู้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม องค์กรทางศาสนา หรือหน่วยงานอื่น ๆ

 

4.มาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการภาคเอกชนให้เข้ามาร่วมจัดการศึกษาหรือเรียนรู้ มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาหรือการเรียนรู้ในลักษณะ Learn to Earn ให้เด็กและเยาวชนอายุ 15-18 ปี ได้พัฒนาทักษะการทำงานที่สอดคล้องกับตลาดแรงงาน เหมาะสมตามศักยภาพและมีรายได้เสริมระหว่างการศึกษา ดังนี้ 1) ส่งเสริมหรือจูงใจผู้ประกอบการที่เข้าร่วมการศึกษาหรือการเรียนรู้ควบคู่กับการทำงานด้วยมาตรการหรือกลไกทางภาษี มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการต่อไป และ 2) สนับสนุนให้สถานประกอบการเข้าร่วมจัดการศึกษาหรือการเรียนรู้ควบคู่กับการทำงาน มอบหมายให้ รง.พิจารณากำหนดกมาตรการที่เหมาะสม

 

นายคารม ระบุว่า ประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินมาตรการนี้คือ เกิดพื้นที่จังหวัดขับเคลื่อน Thailand Zero Dropout รวม 25 จังหวัด เพื่อดูแลกลุ่มเป้าหมายเด็กและเยาวชนที่หลุดออกระบบการศึกษากลับเข้าสู่ระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นได้ จำนวน 20,000 คน ในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 และจะคลอบคลุมพื้นที่ 77 จังหวัด ในปีงบประมาณ พ.ศ.2568 เป็นต้นไป สามารถดูแลกลุ่มเป้าหมายเด็กและเยาวชนที่หลุดออกจากระบบการศึกษาได้ จำนวน 100,000 คน ในปีงบประมาณ พ.ศ.2568 จำนวน 50,000 คน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 และจำนวน 1,000,000 คน ภายในปีงบประมาณ พ.ศ.2570 ซึ่งจะทำให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้


 

ผู้เขียนบทความ
avatar
กองบรรณาธิการ ALTV
ALTV CI
ข่าว ALTV
ข่าว ALTV
ALTV News
ผู้เขียนบทความ
avatar
กองบรรณาธิการ ALTV
แชร์
ฟัง
ชอบ
ติดตามเรา