ในทุกวันที่ 27 มิถุนายนของประเทศญี่ปุ่น นับว่าเป็น “วันแห่งการกล่าวสุนทรพจน์” (演説の日) โดยมีต้นกำเนิดมาจากการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งแรกในญี่ปุ่น ที่มหาวิทยาลัยเคโอ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2417 ในโอกาสนี้ ALTV ขอนำเสนอ 5 สุนทรพจน์ที่น่าจดจำ ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนอย่างมหาศาลมาฝากกัน
“ข้าพเจ้ามีความฝัน... ข้าพเจ้ามีความฝันว่าวันหนึ่งประเทศนี้จะลุกขึ้นยืนหยัด และดำรงอยู่ภายใต้ความหมายที่แท้จริงของหลักการที่ว่า มนุษย์ทุกคนล้วนเกิดมาเท่าเทียมกัน”
นี่คือถ้อยคำบางส่วนของสุนทรพจน์ “I Have A Dream” โดย มาร์ทีน ลุทเทอร์ คิง จูเนียร์ นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ผู้ได้รับการยกย่องว่ามีทักษะการพูดต่อหน้าสาธารณชนที่ทรงพลังคนหนึ่งในประวัติศาสตร์
สุนทรพจน์ I Have A Dream กล่าวขึ้นในวันที่ 28 สิงหาคม 1963 ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ในระหว่างการเดินขบวนใหญ่เพื่อเรียกร้องสิทธิพลเมืองและสิทธิการจ้างงาน
ใจความสำคัญ: สุนทรพจน์ในครั้งนี้ มีจุดประสงค์คือ การเรียกร้องให้เกิดความเท่าเทียมระหว่างเชื้อชาติในสหรัฐอเมริกา เขาชี้ให้เห็นถึงปัญหาการเลือกปฏิบัติต่อคนผิวสีที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะผ่านการเลิกทาสมาแล้ว เขาพูดปิดท้ายด้วยภาพแห่งความหวังในใจของเขาเอง ที่อยากเห็นการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมเกิดขึ้นจริง
สุนทรพจน์ในครั้งนั้น ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสุนทรพจน์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา และนับว่าเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนรุ่นหลังอีกมากมาย
“นี่คือมนต์สั้น ๆ ที่ฉันจะมอบให้พวกท่าน ขอให้พวกท่านจารึกไว้ในหัวใจ และทุกลมหายใจของพวกท่าน มนต์นั้นคือ 'จงทำหรือไม่ก็จงตาย' (Do Or Die)”
ประโยคข้างต้นมาจากสุนทรพจน์สุดโด่งดังที่ชื่อว่า “Quit India” กล่าวโดย มหาตมะ คานธี นักเคลื่อนไหวคนสำคัญของโลก และเป็นที่จดจำในฐานะนักต่อสู้ผู้ยึดหลักอหิงสา (Non-Violence) และสัตยาเคราะห์ (Satyagraha) สุนทรพจน์นี้กล่าวขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1942 ณ สวน August Kranti Maidan ทางตอนใต้ของมุมไบ ประเทศอินเดีย
ใจความสำคัญ: การเรียกร้องเอกราชให้กับอินเดีย หลังจากต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิอังกฤษมานานหลายศตวรรษ โดยส่วนหนึ่งในสุนทรพจน์ที่ติดอยู่ในความทรงจำของคนอินเดียทุกคน และกลายเป็นวลีสุดโด่งดัง นั่นคือ “Do Or Die” ซึ่งหมายถึงการยืนหยัดที่จะ “ทำ” ทุกสิ่งทุกอย่างตามหลักอหิงสา แม้ต้องแลกด้วยชีวิตตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพและเอกราช
“ระบบการศึกษาที่ไม่เคารพความหลากหลาย ก็ไม่ต่างจากการผลิตอาหารฟาสต์ฟูด หรือสินค้าจากโรงงาน”
Do Schools Kill Creativity? (โรงเรียนฆ่าความคิดสร้างสรรค์หรือไม่?) นับเป็นหนึ่งในสุนทรพจน์ Ted Talk ที่มีจำนวนผู้เข้าชมเยอะมากที่สุดตลอดกาล กล่าวโดย ‘เซอร์ เคน โรบินสัน’ นักวิชาการชาวอังกฤษ
สุนทรพจน์ในครั้งนี้ไม่เพียงสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของ การปลูกฝังทักษะความคิดสร้างสรรค์ แล้ว แต่ยังเป็นการตั้งคำถามถึงระบบการศึกษาทั่วโลกอีกด้วย
ใจความสำคัญ: สุนทรพจน์ครั้งนี้ไม่เพียงแสดงถึงความเชื่อของเขาที่ว่า การศึกษาในปัจจุบันให้ความสำคัญไปที่ความสำเร็จทางวิชาการมากกว่าความถนัดของเด็กแต่ละคน
เขายังชี้ให้เห็นว่าหลายโรงเรียนมีค่านิยมให้เด็กเน้นคำนวณและท่องจำเหมือน ๆ กัน มากกว่าการพัฒนาทักษะการมองนอกกรอบหรือความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นไม่แพ้กัน
“เราไม่ต้องใช้เวทมนตร์เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกนี้ เราทุกคนล้วนมีพลังทั้งหมดที่เราต้องการในตัวเราอยู่แล้ว พลังที่จะจินตนาการถึงโลกที่ดีกว่า”
ข้อความข้างต้น เป็นส่วนหนึ่งของสุนทรพจน์ที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดของ เจ. เค. โรว์ลิง หรือ โจแอนน์ “โจ” โรว์ลิง นักเขียนชาวอังกฤษ เจ้าของนวนิยายชื่อดังอย่าง Harry Potter กล่าวขึ้นในพิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ปี ค.ศ. 2008
ใจความสำคัญ: เจ. เค. โรว์ลิง ชี้ให้เห็นถึง ข้อดีของความล้มเหลวในชีวิต ซึ่งจำเป็นต่อการก้าวไปสู่ความสำเร็จ เธอมองว่าความล้มเหลวจะช่วยผลักดันให้เราได้เรียนรู้ เติบโต และไม่ทำผิดพลาดซ้ำในจุดเดิม เธอยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการ ไม่หยุดจินตนาการถึงโลกที่ดีกว่า รวมถึงการมองโลกผ่านสายตาคนอื่น ที่นำไปสู่ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ (Empathy) ต่อเพื่อนมนุษย์มากขึ้น
"จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับ 'ความน่าอาย' (Cringe) ไม่ว่าคุณจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ทำสิ่งที่น่าอายมากแค่ไหน คุณก็จะย้อนกลับไปมองชีวิตและรู้สึกอายย้อนหลังได้เสมอ ความน่าอายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ตลอดช่วงชีวิต แม้แต่คำว่า 'Cringe' เอง วันหนึ่งก็อาจถูกมองว่า 'น่าอาย' ได้เช่นกัน"
สุนทรพจน์โดย เทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่สนามแยงกี สเตเดียม (Yankee Stadium) นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ.2022 ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสุนทรพจน์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในศตวรรษที่ 21
ใจความสำคัญ: ในยุคที่การกระทำ คำพูดของเราถูกมองเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ได้ง่ายผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เทย์เลอร์เน้นย้ำว่ามันเป็นเรื่องธรรมดามาก ที่ชีวิตเราจะมีเรื่องน่าละอายเกิดขึ้นและเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเธอถ่ายทอดผ่านเรื่องราวชีวิตในฐานะศิลปิน ที่เริ่มจากการเข้าวงการมาตั้งแต่อายุยังน้อย จนถึงในวันนี้ที่เธอกลายเป็นศิลปินหญิงแห่งยุค เธอรู้จักการเรียนรู้ที่จะควบคุมในสิ่งที่สามารถควบคุมได้ และเรียนรู้ที่จะ “ปล่อยวาง” ในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และที่สำคัญที่สุดคือ การมีความมั่นใจกับสิ่งที่ทำ โดยไม่ต้องสนว่าจะเป็นเรื่องน่าอาย
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ หวังว่าเรื่องราวของ 5 สุนทรพจน์ระดับโลกเหล่านี้ จะสร้างแรงบันดาลใจให้คุณได้ไม่มากก็น้อย และช่วยให้ตระหนักถึงพลังของทุกคำพูดที่คุณเลือกใช้นั้นว่า จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีหรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง
อ้างอิง: Time.com