ALTV All Around
ALTV News
บทความอื่นจาก Thai PBS
ALTV All Around
ALTV News
บทความ Thai PBS
"กัมพูชา" ยกเครื่องการศึกษา หวังหลุดกับดักรายได้ปานกลาง 2030
แชร์
ฟัง
ชอบ
"กัมพูชา" ยกเครื่องการศึกษา หวังหลุดกับดักรายได้ปานกลาง 2030
11 ก.ค. 67 • 16.26 น. | 660 Views
ขนาดอักษร : กลาง
ALTV CI

ปี ค.ศ.2030 (พ.ศ.2573) หรืออีก 6 ปีต่อจากนี้ คือ ช่วงเวลาที่สำคัญของ ประเทศกัมพูชา ที่ต้องการเปลี่ยนผ่านจาก ประเทศที่มีรายได้ปานกลางล่าง ไปสู่ประเทศที่มีรายได้ปานกลางบนตามเกณฑ์ของธนาคารโลก ที่กำหนดให้ประชากร ต้องมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปี อยู่ที่ 4,466 - 13,845 เหรียญสหรัฐ (18-57 ล้านเรียล หรือ 162,800 - 504,800 บาท)

 

(ภาพที่ 1) การก้าวสู่ “ประเทศที่มีรายได้ปานกลางบน” ภายในปี 2030 คือ เป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจของกัมพูชา ที่ยึดโยงกับการยกระดับการศึกษาเพื่อพัฒนาทุนมนุษย์

 

ที่ผ่านมา กัมพูชา เคยรั้งอันดับ 11 ของประเทศ ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจรวดเร็วที่สุดของโลก มี GDP อยู่ที่ 6.0-7.5%  แม้จะตกลงมาบ้างในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด - 19 แต่หลังจากนั้น ก็กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง  ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า ปี 2024 (พ.ศ.2567 ) อัตราการเติบโต จะขยับขึ้นไปอยู่ที่ 5.8 %  

 

(ภาพที่ 2) ประเทศที่มีประชากร 17 ล้านคนอย่าง “กัมพูชา” ที่ถูกจับตามองว่า จะสามารถฟื้นฟู และขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตได้เหมือนก่อน การแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือไม่  

โรดแมพกัมพูชา 2030 

ตาม โรดแมพกัมพูชา 2030 ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ และยุทธศาสตร์สี่ด้าน (การเติบโต  การจ้างงาน ความเสมอภาค และประสิทธิภาพ) ระยะที่ 4   กัมพูชาให้ความสำคัญกับการยกระดับการศึกษาเพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ พร้อมไปกับการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้   แต่เส้นทางนี้ ก็มีความท้าทายจากปัญหาเดิมด้านความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ภาวะการเรียนรู้ถดถอยที่ผลพวงจากโควิด-19 และประสิทธิในการบริหารจัดการการศึกษา

 

(ภาพที่ 3) ดร.กิมเจียง ฮง ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ เยาวชนและกีฬา (ภาพโดย: สถาบันรามจิตติ)

ALTV ร่วมกับ มูลนิธิสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี และสถาบันรามจิตติ

ALTV ร่วมกับ มูลนิธิสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี และสถาบันรามจิตติ สัมภาษณ์พิเศษ ดร.กิมเจียง ฮง ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ เยาวชนและกีฬา ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2567 ถึงแนวทางในการปฏิรูปการศึกษาเพื่อตอบโจทย์การพัฒนาทุนมนุษย์รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และความร่วมมือ ระหว่าง ครูกัมพูชากับครูไทยและอาเซียน ที่กำลังดำเนินการอยู่

 

อะไร คือโจทย์ท้าทายลำดับต้นๆ ของการศึกษากัมพูชา ?

ถ้าดูจากนโยบายกระทรวงฯ เวลานี้มีอยู่ 2 เรื่องที่ต้องเอาใจใส่เพิ่มขึ้น เรื่องแรกคือ เราต้องเพิ่มอัตราเด็กที่ได้รับการศึกษาให้เท่าเทียม และคุณภาพการศึกษามากขึ้น  อัตราการเข้าศึกษาโดยภาพรวมดีขึ้นมาก แต่ถ้าดูจากภูมิศาสตร์ ​ในชนบททุรกันดารเด็กที่ได้รับโอกาสไปเรียนหนังสือน้อยมาก โดยเฉพาะ เด็กในพื้นที่ภูเขา ฉะนั้น ตรงนี้เราก็ต้องเอาใจใส่  เรื่องที่สอง แม้ว่าเราจะมีโรงเรียนกระจายไปในพื้นที่ห่างไกล แต่ก็ขาดแคลนครู และถ้าครูที่ไปสอนไม่ค่อยมีคุณภาพแล้ว คุณภาพการศึกษาเด็กก็จะไม่ดีขึ้น 

 

รายงานล่าสุดของธนาคารโลก ชี้ว่า อัตราการเข้าเรียนดีขึ้นมากแล้ว ?   

ความจริงมีการประเมินจากหลาย ๆ หน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานที่เป็น Partner ของกระทรวงศึกษาธิการ เยาวชนและการกีฬา การประเมินภายใน ผลที่ออกมาโดยรวม อัตราการเข้าเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ค่อนข้างสูงพอสมควรอยู่ในระดับที่น่าพอใจ  แต่เด็กที่สำเร็จการศึกษาจากแต่ละช่วงจะมีปัญหา คือ เด็กออกกลางคัน เยอะ 

 

(ภาพที่ 4) ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อัตราเข้าเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษากัมพูชาเพิ่มจาก 81% ในปี 2009 เป็น 90% ในปี 2019 แต่การเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เพิ่มเป็น 47% และมัธยมศึกษาตอนปลาย 31% (2019)   

 

ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 เรามีการประเมิน ถ้าดูตัวเลขแบบจำง่ายๆ คือ เข้าเรียน ป.1 จำนวน 100 คนจะจบประถมศึกษา ประมาณครึ่งหนึ่งจะหายไป จบ ม.ต้น ก็จะอีกครึ่งหนึ่ง ก็แสดงว่า 100 คน ก็เหลือแค่ 50 และ 25 คน พอไป ม.ปลายก็เหลือ 12 คน แต่การประเมินภายในของกระทรวงฯ ผลที่ออกมาปีที่แล้ว ก็มีผลดีขึ้นนิดหน่อย แต่ต้องทำงานให้เต็มที่ เพื่อให้อัตราเด็กที่สำเร็จการศึกษาแต่ละช่วงดีขึ้นมากกว่านี้


แนวทางป้องกันเด็กหลุดจากระบบการศึกษา ?

ปัญหาเด็กออกกลางคันเป็นปัญหาหลัก ตอนนี้ มาตรการของกระทรวงฯ มีหลายมาตรการ อย่างแรก เราจะส่งเสริมให้เด็กได้เรียนจบ อย่างน้อยการศึกษาขั้นพื้นฐานของกัมพูชา คือ 9 ปี หรือ ม.3 ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว คือ เราให้การศึกษาโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และโครงการอาหารเช้า เพื่อช่วยเหลือเด็กยากจนที่ไม่มีข้าวเช้าให้สามารถมาโรงเรียนได้  นอกจากนี้ ยังมีโครงการมอบจักรยานให้กับเด็กบางคนที่มาโรงเรียนไม่ได้ เพราะอยู่ในชนบทถนนหนทางไม่ดี, ห่างไกล, เดินมาไม่ได้  อีกอย่างคือ เราพยายามเข้าถึงชาวบ้าน ให้ชาวบ้านเปลี่ยนทัศนคติ เรื่องนี้สำคัญมาก หากผู้ปกครองให้ความร่วมมือ เขาจะไม่ทิ้งเด็ก

 

(ภาพที่ 5) รายงานล่าสุดของธนาคารโลก (2024) ระบุว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เด็กไม่เรียนต่อระดับที่สูงขึ้น มาจากปัญหาด้านเศรษฐกิจ 59% ผลการเรียนไม่ดี 18% และต้องไปช่วยงานที่บ้าน 5%

 

หลังจากจบการศึกษาภาคบังคับ ม.ต้น จะเรียนต่อก็แบ่งเป็นสายอาชีวะกับสายสามัญ  ถ้าเรียนอาชีวะ เรียน ปวช. รัฐบาลให้เรียนฟรี และมีทุนสนับสนุน 30% คือ 100 คนจะให้ 30 คน ให้เงินรายเดือน ประมาณ 300 – 400 บาท  ถ้าเป็นระดับอุดมศึกษา จะเน้นการให้ทุนการศึกษา แบ่งเป็นทุนการศึกษาทั่วๆไป ทุนเรียนฟรี และทุนการศึกษาจัดสรรให้เฉพาะกลุ่มผู้หญิงและชนกลุ่มน้อย เพื่อให้นักเรียนกลุ่มนี้ได้ศึกษาต่อระดับอุดมศึกษามากขึ้น 


ทำไม ให้ความสำคัญกับอาหาร ?

นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน (พล.อ.ฮุน มาเนต) ให้ความสำคัญกับสุขภาพของเด็กๆ อย่างมาก โดยเฉพาะเด็กเล็ก และเด็กประถมศึกษา มีการศึกษาจากหลายสำนัก บอกว่า เด็กขาดเรียนหนังสือ เด็กออกกลางคัน เด็กเรียนไม่เก่ง สาเหตุหลักมาจากสุขภาพของเขา เขาเรียนไม่ได้เพราะเขาป่วย  โจทย์ คือ ต้องไปหาว่า ทำไม เด็กสุขภาพไม่แข็งแรง เราต้องไปดูว่า อาหารที่ขายในสถานศึกษาเป็นอย่างไรบ้าง มีมาตรฐานหรือไม่ กระทรวงฯ ก็ต้องมีเจ้าหน้าที่ไปดูแล และมีการทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อให้มั่นใจว่า เด็กที่อยู่ในโรงเรียนจะซื้อขนม ซื้ออาหารการกินที่มีคุณภาพ


อันที่สอง กระทรวงฯ พบว่า เด็กที่อยู่ในชนบท โดยเฉพาะเด็กที่มีฐานะความเป็นอยู่ไม่ดี ไม่มาเรียนหนังสือเพราะเขาไม่มีอาหารกินตอนเช้า อาหารเช้าเป็นสิ่งที่ช่วยให้เรามีพลังในการเรียน มีสมองทำงานได้ดี กระทรวงฯ ทำโครงการ “โครงการอาหารตอนเช้า”เพื่อสนับสนุนให้เด็กที่อยู่ในพื้นที่ชนบทมีอาหารกินเพียงพอ แต่ตอนนี้ เราก็กำลังดูว่า จะการขยายไปทำเรื่องอาหารกลางวัน สำหรับเด็กๆ ในพื้นที่ด้อยโอกาส


ไทยเริ่มจากอาหารกลางวัน และมีข้อเสนอให้เพิ่มอาหารเช้า แต่ “กัมพูชา” สวนทางกัน 

เด็กไทยเรียนทั้งเช้าและบ่าย  แต่เด็กกัมพูชาเรียนแค่ตอนเช้า ตอนบ่ายไม่ได้เรียน เรียนตอนเช้าจบ เด็กกลับไปกินอาหารกลางวันที่บ้าน ตอนนี้ มีโครงการจะให้โรงเรียนทั่วประเทศโดยเฉพาะระดับประถมศึกษา ขยายชั่วโมงเรียน จากเรียนแค่ตอนเช้า หรือ ตอนบ่ายมาเรียนทั้งวัน ดังนั้น เราก็คิดโครงการ อาหารกลางวัน

 

(ภาพที่ 6) ผลการประเมินระดับชาติ ปี 2021 พบ ทักษะด้านการอ่านออกเขียนได้ และทักษะด้านคณิศาสตร์ของนักเรียนชั้น  ป. 6 ลดลงกว่าช่วงก่อนแพร่ระบาดของโควิด-19  

 

นอกจากแก้ปัญหาเด็กหลุด ยังต้องเน้น “ผลการเรียนรู้” ด้วย 

ผมเป็นครูมาก่อน ผมทำงานในวงการการศึกษาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 ประมาณ 24 ปีมาแล้ว ตอนนี้ นักเรียนกัมพูชา ค่อนข้างมีปัญหาทักษะการอ่าน การเขียน เช่นเดียวกับทักษะด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์  จากการประเมินระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็น SEA-PLM (the Southeast Asia Primary Learning Metrics) หรือ PISA (the Program for International Student Assessment) หรือการประเมินระดับชาติ ก็แสดงให้เห็นว่า เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาในชนบทจะมีโอกาสได้รับการศึกษาน้อยกว่าเด็กนักเรียนที่อยู่ในตัวเมือง โดยเฉพาะทักษะการอ่านจะต่างกัน 1 ปี หมายความว่า เด็กนักเรียนชั้น ป.5 ในชนบท มีทักษะการอ่านเท่ากับ เด็กนักเรียนชั้น ป.4 ที่อยู่ในตัวเมือง


นี่เป็นที่มาของการปฏิรูปโรงเรียน ?

รัฐบาลชุดที่แล้ว มีนโยบายให้กระทรวงศึกษาฯ เน้นการปฏิรูประดับกระทรวง ระดับกลาง หมายถึงระดับนโยบายทั่วๆไป แต่รัฐบาลชุดนี้ มีนโยบายปฏิรูปต้องเข้าถึงโรงเรียน โดย กระทรวงฯ ได้สร้างแกนประเมินเพื่อให้โรงเรียนเป็นโรงเรียนมาตรฐาน ทั้งหมด 5 แกน  

 

(ภาพที่ 7) การเน้น “ผลลัพธ์การเรียนรู้” ของนักเรียน เป็น 1 ใน 5 แกนหลักของการปฏิรูปโรงเรียนกัมพูชา

 

แกนแรก จะดูเรื่องผลลัพธ์ ผลการเรียนของเด็กๆ แกนที่ 2 จะดูเรื่องคุณภาพครู การสอนของครู แกนที่ 3 เป็นการให้ความร่วมมือกับชุมชน ก็ไปดูโรงเรียนว่า สามารถดึงชุมชน ผู้ปกครองหรือภาคเอกชนมาช่วยได้มากน้อยแค่ไหน แกนที่ 4 เป็นการบริหารจัดการและการดำเนินการทั่วๆไป และแกนที่ 5 คือ การตรวจสอบ ความโปร่งใส ซึ่งทั้ง 5 แกน เรามีตัวชี้วัดรวมทั้งหมด 26 ตัวชี้วัด


กัมพูชาเพิ่งประกาศใช้แผนปฏิบัติการ “นโยบายครู”ฉบับใหม่ (2024 - 2030) มีแนวทางอย่างไร ?

เรื่องนโยบายการพัฒนาครู กระทรวงมองเป็น 2 ช่วง ช่วงแรก เรามองเรื่องครูที่มีอยู่แล้วต้องพัฒนาทักษะ ซึ่งตอนนี้ เราก็มีโปรแกรมต่างๆ เพื่อจะให้ครูที่มีศักยภาพสามารถ Upskill ได้ เช่น เข้ามาเรียนต่อในมหาวิทยาลัยพนมเปญ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากธนาคารโลก โครงการนี้ทำมาแล้วประมาณ 4 - 5 ปี  


(ภาพที่ 8) แผนปฏิบัตินโยบายครู (2024-2030) กำหนดยุทธศาสตร์ 4 ด้าน คือ ด้านการบริหารจัดการ การสร้างภาวะผู้นำ การศึกษา และการพัฒนาครูมืออาชีพ   

   

อีกเรื่อง คือการพัฒนาคนที่กำลังจะเป็นครู เราจะคัดเลือกจากนิสิตที่อยากจะเป็นครู คือกระทรวงฯ มองว่า คนที่จะเป็นครูที่ดีต้องเป็นคนที่มี Top Talent เป็นหัวกะทิ เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ ดังนั้น ระบบนี้เราให้คนที่มีคะแนนสอบระดับชาติดีเด่นเข้าบรรจุเป็นครู ส่วนใหญ่ เราจะได้คนเก่งมาทำงานเป็นครูมาเรียนครู

 

ผมต้องอธิบายระบบการผลิตครูของกัมพูชาจะแตกต่างจากไทย  ไทยให้นิสิตเรียนจบจากคณะครุศาสตร์ หรือศึกษาศาสตร์ไปสอบบรรจุเป็นครู แต่กัมพูชาจะให้สอบก่อน ถ้าสอบผ่านก็ให้ไปเรียนคณะครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์ ดังนั้น คนที่เข้าสอบก็ต้องเป็นคนเก่ง ดังนั้น เราต้องเอาใจใส่กับการคัดเลือกคนที่จะมาเป็นครูมากขึ้น

 

อีกเรื่อง คือสถาบันฝึกหัดครู หรือสถาบันพัฒนาครู ต้องมีคุณภาพ ต้องมีการปฏิรูป ที่ผ่านมา กระทรวงฯ ส่งเจ้าหน้าที่ไปดูงานหลายที่ เราไปศึกษาโมเดลสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไทย เพื่อจะเอามาพัฒนาสถาบันฝึกหัดครูให้ดีขึ้น ให้นิสิตเข้ามาเรียนแล้วเป็นครูที่ดีไปสอนนักเรียนของเรา

 

ที่ผ่านมา เรามีการวิจัย พบว่า ครูเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการผลักดันให้มีเด็กที่มีคุณภาพ นอกจากการพัฒนาครูแล้ว กระทรวงฯ ให้กำลังใจครูให้ทำงานอย่างเต็มที่ ด้วยการเพิ่มเงินเดือน ถ้าเราพูดถึงข้าราชการกัมพูชา ครูค่อนข้างจะมีเงินเดือนมากกว่าข้าราชการกระทรวงอื่น


เริ่มเพิ่มเงินเดือนมาตั้งแต่ปี 2014 ?

ใช่ครับ ตอนนี้ จากงบประมาณทั้งหมด เป็นเงินเดือนและค่าตอบแทนครูประมาณ 80%

 

(ภาพที่ 9) พื้นที่ชนบท ยังมีปัญหาขาดครูระดับประถมศึกษา 12,254 ตำแหน่ง จากทั้งหมด 13,403 ตำแหน่ง และครูระดับปฐมวัย 4,084 ตำแหน่งจากทั้งหมด 4,833 ตำแหน่ง (Cambodia Economic Update June 2024)   

 

ปัญหาครูขาดในพื้นที่ชนบทมีแนวทางแก้อย่างไร ?

ก็เป็นนโยบายหนึ่งที่ต้องแก้ คือ การกระจายครูไปในพื้นที่ชนบท แม้จะเป็นเรื่องยาก เพราะครูก็อยากทำงานที่ตัวเมืองมากกว่า อีกกรณีที่พบ คือ ถ้ายังโสดก็พอทำงานได้ แต่พอแต่งงานแล้วก็ต้องย้ายตามครอบครัว เพื่อแก้ปัญหานี้ กระทรวงฯ จะใช้นโยบายที่เคยใช้คือ เวลาเราคัดเลือกครู เราจะให้ความสำคัญกับคนในพื้นที่นั้นก่อน 

 

สมมุติว่า โรงเรียนแห่งหนึ่งที่จังหวัดกัมปงชนัง ต้องการบรรจุครูใหม่ 1 คน คนที่มาสมัครต้องมาคุยกับ ผอ.โรงเรียนก่อน และต้องทำสัญญาว่า จะไม่ย้ายไปไหน ถ้าคุยกันรู้เรื่อง ผอ.เห็นด้วย ก็ส่งต่อให้กรรมการพิจารณา ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการลดอัตราการย้ายถิ่นของครู


ช่วยขยายที่มาของการปฏิรูปโรงเรียนด้วยการทำงานกับชุมชน ?

ต้องย้อนไปสมัยเขมรแดง ตอนนั้น จะไม่มีการศึกษา ไม่มีโรงเรียนเลย เขมรแดง หมดไปประมาณปี 1998 ดังนั้น พื้นที่เขมรแดง พ่อแม่ผู้ปกครองก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการส่งเด็กไปเรียนหนังสือ  อีกประเด็น คือทัศนคติที่ให้เด็กในวัยเรียน ไปช่วยทำงาน เพื่อจะหารายได้เข้าครอบครัว 


เพราะมีปัญหายากจน เด็กต้องออกไปเป็นแรงงาน

ใช่ครับ ดังนั้น เราต้องไปทำงานกับผู้ปกครองให้เปลี่ยนทัศนคติ ให้มองว่า การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ ถ้ากลัวจนเพราะส่งเด็กไปเรียนหนังสือ ก็จะจนตลอดไป ตรงนี้เราต้องดึงชาวบ้านดึงผู้ปกครองมาอยู่ในกระบวนการด้วย วิธีการในการดึงจะมีหลายอย่าง เช่น เราตั้งกรรมการโรงเรียน หรือ กรรมการชั้นเรียน ต้องมีคนในชุมชนมาร่วมด้วย เพื่อให้เขารับทราบว่า เราทำอะไรบ้างเพื่อประโยชน์กับลูกหลานของเขา 


การให้ชุมชนมาร่วมมือกับโรงเรียนยังมีประโยชน์ด้านงบประมาณด้วย เพราะงบประมาณส่วนใหญ่ของรัฐบาล เป็นเงินเดือนครู 80% เหลือเงินที่ดำเนินการแค่ 20% ถือว่า น้อยมาก ดังนั้น ถ้าเราได้รับการช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณหรืออะไรก็ตามจากชุมชน เราสามารถทำงานได้สะดวกขึ้น  ที่ผ่านมา มีโรงเรียนหลายแห่งที่สามารถเปลี่ยนทัศนคติชุมชนให้มาช่วยสนับสนุนได้ แต่ยังทำได้ไม่มาก เราจะขยายให้มากขึ้น


การทำงานร่วมกับภาคธุรกิจเอกชน ตามข้อเสนอของธนาคารโลก ?

การทำงานกับภาคเอกชน ส่วนใหญ่ เราทำในระดับอุดมศึกษาและอาชีวะ  จากการสังเกตของผม เห็นว่า บทบาทของภาคเอกชนในการช่วยพัฒนาระดับอุดมศึกษายังมีข้อจำกัด เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ซึ่งเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับกฎหมาย เช่น ประเทศอื่น ถ้าภาคเอกชนเข้ามาช่วยการศึกษาจะได้ลดหย่อนภาษี  แต่เรายังไม่มีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน ทำให้เอกชนบางแห่งก็ก้ำกึ่งที่จะเข้าไปช่วย  อีกอย่างหนึ่ง ภาคเอกชนก็ไม่ได้ตั้งเป็นหน่วยงานที่จะช่วยเราโดยเฉพาะ ดังนั้น ความร่วมมือแบบลึกซึ้ง ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่

 

(ภาพที่ 10) การเรียนให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและความต้องการของตลาดแรงงาน เป็นอีกโจทย์ที่กระทรวงศึกษาฯ กัมพูชา กำลังเร่งแก้ไข

 

นักเรียนเลือกเรียนตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน หรือไม่ ?

กระทรวงศึกษาฯ ทำงานตอบสนองนโยบายของรัฐบาล ที่ตั้งเป้าหมายว่า ปี 2030 จะให้เป็นประเทศที่มีรายได้ระดับกลาง และในปี 2050 จะเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับสูง ตรงนี้ ในแผนกอุตสาหกรรม เราต้องเน้นเป็นเรื่องสำคัญ ขณะเดียวกัน ก็ต้องเน้นภาคเกษตรด้วย เพราะว่าประเทศของเรามีทรัพยากรที่อำนวยต่อการเกษตร  แต่ปรากฏว่า เด็กที่เข้าเรียนหนังสือเพื่อเตรียมพร้อม สำหรับ การพัฒนาอุตสาหกรรมและเกษตรไม่ค่อยมีเท่าไหร่ เด็กส่วนใหญ่ ยังเลือกเรียนด้านบริหารจัดการ ด้านสังคมศาสตร์ 

 

เรื่องนี้เราต้องแก้ไขเร่งด่วน สำหรับเด็กที่จะเรียนต่อระดับอุดมศึกษาหรืออาชีวะศึกษา ต้องมีการแนะแนวให้ชัดเจน เราทำงานเชื่อมกับฝ่ายมัธยมศึกษา ระดับ ม.5  ซึ่งเขาต้องเลือกแล้วว่า จะเรียนสายศิลป์ หรือ สายวิทย์  ถ้าเรียนสายวิทย์ เราสนับสนุนอยู่แล้ว เพราะกระทรวงฯ มีนโยบายให้เด็กเข้าเรียน STEAM ให้เยอะที่สุดเพื่อจะป้อนตลาดแรงงาน 

 

ต้องเพิ่มเติมหลักสูตรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง หรือไม่ ?

ในมุมมองส่วนตัว และความจริงก็เป็นนโยบายของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี ให้แนวคิดว่า เราต้องไปดูแลเด็ก พูดง่ายๆ คือ ถ้าเด็กอยู่นอกระบบโรงเรียนจะมีโอกาสทำอะไรไม่ดีเยอะ ถ้าอยู่ในระบบจะดีกว่า ก็เลยมีความคิดว่า เรามี “หลักสูตรนอกเวลา” ตอนนี้ ส่วนใหญ่ที่ทำกันจะเป็นเพิ่มทักษะภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศ หรือเป็นกิจกรรมศิลปะวัฒนธรรม กีฬา การสอนศีลธรรม หรือการสอน Life skill เพื่อทักษะชีวิตและอาชีพ เช่น เลี้ยงสัตว์ เลี้ยงปลา หรือสอน Coding  แต่หลักสูตรนอกเวลาของเรายังขึ้นอยู่กับครู ขึ้นกับทรัพยากรในแต่ละพื้นที่ ซึ่งบางพื้นที่ก็มีข้อจำกัดมาก แต่เราพยายามให้โรงเรียนใช้ทรัพยากรเหล่านั้นให้ได้มากที่สุด

 

เหลืออีก 6 ปีต้องเดินไปถึงเป้าหมายจะประเมินผลอย่างไร ?

กระทรวงฯ จะมีการประเมินทุก 2 ปี ถ้าทำไม่ถึงเป้าที่กำหนดไว้ ต้องกลับมาดูใหม่ว่า ตรงไหนเป็นปัญหา เราจะเน้นการแก้ไขปัญหาตรงนั้นก่อน เช่น แต่ก่อนเราคิดว่า การกระจายอำนาจเป็นปัญหา ตอนนี้ กระทรวงฯ ได้กระจายอำนาจให้กับเทศบาลท้องถิ่นแล้ว ดังนั้น การดูแลการศึกษาในต่างจังหวัดก็เป็นหน้าที่ของเทศบาลที่เขาดูแลเป็นหลัก  ปีหน้าเราจะมีการประเมินแล้วว่า เราประสบความสำเร็จมาก-น้อยแค่ไหน แล้วจะเอาผลประเมินมาสร้างนโยบาย หรือ ทำการปฏิรูปจุดที่เป็นจุดอ่อนของเราต่อ

 

(ภาพที่ 11 ) ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานมูลนิธิสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี พร้อมคณะกรรมการฯ เดินทางไปเยี่ยม และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับครูที่ได้รับรางวัลฯ ประจำประเทศกัมพูชา   

 

ความร่วมมือกับมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ?  

ขอเริ่มจากกรอบใหญ่ก่อน โครงการส่วนพระองค์ที่ผมเคยทำงานร่วมด้วยมี 3 โครงการ ก็จะเป็นโครงการครูรางวัลของมูลนิธิสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี  โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งมีโรงเรียนประถมศึกษา 6 แห่งของกัมพูชาอยู่ในโครงการ และมีโครงการให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษา มีสถาบัน 2 แห่งอยู่ในนั้น โครงการเหล่านี้ เป็นโครงการที่ผมคิดว่า ได้ประโยชน์มากที่สุด ให้ประโยชน์มากที่สุดกับครู เด็กและเยาวชนของกัมพูชา อันนี้เป็นภาพรวม

 

(ภาพที่ 12) ครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ประเทศกัมพูชา จากซ้าย-ขวา: ครูไฮ จักรียา ปี 2023  ครูวิรัก ลอย ปี 2019 ครูดี โสพอน ปี 2017 และครูณอน ดารี ปี 2021 (อีกคน คือ ครูโตล บันโดล ปี 2015 ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ)

 

สำหรับ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ตอนนี้ กัมพูชามีครูที่ได้รับรางวัลฯ อยู่ 5 คน ทั้ง 5 คนมีแรงจูงใจ มีความสามารถไปช่วยเพื่อนครูคนอื่นๆ ให้เรียนรู้ไปด้วยกัน ครูดีเด่นทั้ง 5 คนเป็นโมเดล เป็นตัวอย่างที่ดีให้เพื่อนครูได้ดูว่า ถ้ามีเทคนิคการสอนที่ดี ผลออกมาดี นอกจาก ตัวครูจะได้รางวัล ได้คำชมเชย ได้ค่าตอบแทนแล้ว เด็กนักเรียนก็ประโยชน์ด้วย  ตัวอย่าง ครู ดี โสพอน (ครูรางวัลมูลนิธิสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี รุ่นที่ 2 ประจำปี 2017) ก่อนหน้านี้ ผมไม่รู้จักแต่ตอนนี้ ถ้าไปค้นในอินเตอร์เน็ตจะเห็นภาพ ครูดี โสพอน ไปช่วยเพื่อนครู ไปแบ่งปันประสบการณ์ตลอด 

 

(ภาพที่ 13) ดร.กิมเจียง ฮง นำเสนอในเวทีเสวนาสัญจรฯ โดยมี มูลนิธิสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี เป็นแกนหลักในการประสาน

 

นอกจากเพื่อนครูในกัมพูชา เรายังมีเพื่อนครูในประเทศไทยและอีกหลายๆ ประเทศในอาเซียน ที่เป็นครูที่ได้รับรางวัลจากมูลนิธิฯ ที่มีการทำงานร่วมกัน (ล่าสุด คือการจับคู่กับโรงเรียนไทย ในรูปแบบโรงเรียนร่วมพัฒนา - Partner School - เพื่อแลกเปลี่ยนและยกระดับศักยภาพครู นักเรียนและโรงเรียน / การจับคู่กับโรงเรียน 9 แห่งประเทศมาเลเซีย ในรูปแบบ Borderless Classroom เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ สำหรับ นักเรียนและครู) ผมคิดว่า ความร่วมมือจะมีมากขึ้น และสุดท้าย ประโยชน์ก็จะได้กับนักเรียนของเราทั้งสองประเทศ

 

(ภาพที่ 14) การแลกเปลี่ยน ระหว่าง “โรงเรียนร่วมพัฒนา” (Partner School) โรงเรียนประถม Komrou Krong ประเทศกัมพูชา ( ร.ร.ของครูดี โสพอน) กับ โรงเรียนเมืองสุรินทร์ ประเทศไทย (ภาพโดย: สถาบันรามจิตติ)

แท็กที่เกี่ยวข้อง
##กัมพูชา#PMCA#การศึกษา#กับดักรายได้ปานกลาง#ยากจน#เหลื่อมล้ำ 
ผู้เขียนบทความ
avatar
กองบรรณาธิการ ALTV
ALTV CI
ข่าว ALTV
ข่าว ALTV
ALTV News
ผู้เขียนบทความ
avatar
กองบรรณาธิการ ALTV
แท็กที่เกี่ยวข้อง
##กัมพูชา#PMCA#การศึกษา#กับดักรายได้ปานกลาง#ยากจน#เหลื่อมล้ำ 
แชร์
ฟัง
ชอบ
ติดตามเรา