ALTV All Around
ALTV News
บทความอื่นจาก Thai PBS
ALTV All Around
ALTV News
บทความ Thai PBS
เพิ่มหลักสูตรภัยพิบัติ ระวัง “กับดัก” เรียนแค่ภัยใกล้ตัว
แชร์
ฟัง
ชอบ
เพิ่มหลักสูตรภัยพิบัติ ระวัง “กับดัก” เรียนแค่ภัยใกล้ตัว
16 เม.ย. 68 • 13.19 น. | 303 Views
ขนาดอักษร : กลาง
ALTV CI

หนึ่งในกระทรวงที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568  ให้เข้ามามีบทบาทในการสร้างความปลอดภัยในชีวิตให้กับประชาชน หลังเผชิญเหตุแผ่นดินไหวจากเมียนมา คือ กระทรวงศึกษาธิการ  ล่าสุดได้ออกมาขานรับและมอบหมายให้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ สสวท. วางแผนผลิตสื่อการเรียนรู้มอบให้สถาศึกษาต่างๆ นำไปใช้  แต่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่า จะมีการเพิ่มเติมหลักสูตรที่มีอยู่เดิม หรือ เติมกิจกรรมใหม่ผ่านช่วงลดเวลาเรียน-เพิ่มเวลารู้  แต่ ถ้าจะให้การปฏิรูปการเรียนรู้ “ภัยพิบัติ” ที่นำไปสู่การรับมือและเอาชีวิตรอดได้จริง ต้องทำอย่างไร?

ศูนย์สื่อสาธารณะเพื่อเด็กและการเรียนรู้ , ไทยพีบีเอส ชวนไปฟังมุมมองของ รองศาสตราจารย์ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร  หรือที่คนในแวดวงการศึกษาด้านภัยพิบัติ เรียกขานว่า “เจ้าแม่บริหารภัยพิบัติ” ต่อสถานการณ์แผ่นดินไหวและการเดินหน้าหลักสูตรภัยพิบัติ  

 

กรุงเทพ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

บ่ายโมงยี่สิบนาที วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568  กรุงเทพฯ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป  ความปลอดภัยของมหานครขนาดใหญ่ที่มีเนื้อที่กว่า 1,500 ตารางกิโลเมตร ถูกท้าทายด้วยแรงสั่นจากแผ่นดินไหว ขนาด 7.7 ในแนวรอยเลื่อนสะกาย ตอนกลางของประเทศเมียนมา 

“แผ่นดินไหวใช่หรือไม่ ? ” เป็นข้อความแรกๆ ที่ถูกส่งต่อจำนวนมหาศาลในโซเชียลมีเดีย พร้อมกับคลิปจากสถานที่ต่างๆ  

แรงสั่นยาวนาน 2-3 นาที ทำให้หลายคนวิ่งกรูลงมาจากอาคารสูงหลายสิบชั้นโดยไม่มีอะไรติดตัว จำนวนไม่น้อยไม่กล้ากลับเข้าอาศัยในอาคารสูงเพราะไม่มั่นใจว่า จะถล่มหรือไม่ บางคนไม่รู้จะทำยังไง เมื่อต้องติดในรถไฟฟ้า ซึ่งขบวนรถสั่นไหวไปมาอยู่บนราง และบทสรุปของความสับสนอลหม่าน ก็คือ การหาทางกลับบ้านที่แสนยาวนานเพราะรถติดอย่างหนัก แต่ที่ยังเป็นบาดแผลที่ไร้คำตอบจนถึงขณะนี้ ก็คือ อาคาร สตง. ที่พังถล่ม 

“ตอนคลื่นลูกแรกมา กำลังนั่งเซ็นต์เอกสารในห้อง (ศาลาว่าการ กทม.เสาชิงช้า) รับรู้ได้ว่า ห้องแกว่ง ตึกโยก แต่ก็สงสัย ทำไมถึงสั่นเป็นแนวเฉือน  วันนั้น มีรถบรรทุกวิ่งเข้า-ออกเยอะ แรงสั่นควรจะเป็นแนวตั้ง พอลูกคลื่นที่ 2 และ 3 ตามมา ก็มั่นใจ แผ่นดินไหวแน่ เลยมุดลงใต้โต๊ะพร้อมตะโกนบอก (เจ้าหน้าที่) หน้าห้อง ว่า แผ่นดินไหว”

เมื่อการสั่นยุติกลายเป็นแรงโยกหนืด ก็คิดในใจว่า “อาคารที่เราอยู่ แข็งแรงพอไหม?” จึงรีบออกจากใต้โต๊ะ บอกให้ทุกคนอพยพ ก่อนจะเจอกับผู้ว่าฯ ชัชชาติ และเป็นที่มาของการจัดตั้ง “ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์แผ่นดินไหว” ในทันที

 

เมื่อแผ่นดินไหวใกล้ตัว

นี่ขนาดเป็น กูรูด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติ ทำงานวิจัย และเขียนหนังสือเกี่ยวกับการรับมือและผลกระทบจากแผ่นดินไหว ยังอดสงสัยไม่ได้ อาคารที่ตัวเองอยู่แข็งแรงพอรับมือกับแผ่นดินไหวรุนแรงแบบนี้หรือไม่ ?  

จึงไม่แปลกที่ประชาชนทั่วไป หรือ กระทั่งคนที่เคยเรียนรู้และซ้อมรับมือภัยพิบัติในสถานศึกษามาบ้าง ต้องชั่งใจว่า จะหลบใต้โต๊ะก่อน หรือ เร่งอพยพโดยด่วน

อ.ทวิดา ขยายความว่า การเรียนในห้องเรียนกับการเผชิญกับสถานการณ์จริงๆ เมื่อเกิดภัยพิบัติในแต่ละสังคมมีความแตกต่างกัน  ถ้าดูตามขั้นตอนปฏิบัติ เมื่อเกิดแผ่นดินไหว เราขับรถอยู่ สิ่งที่ควรทำคือ ต้องจอดรถ  แต่สังคมไทย ถ้าจอด รถคันข้างหลังที่ตามมา จะต่อว่าเราไหม?  ตำรวจจะให้จอดหรือไม่ ? ถ้าไปจอดตรงเสาไฟ จะมั่นใจได้อย่างไรว่า เสาจะไม่ล้มฟาดใส่เรา  ถ้าอยู่บนอาคารต้องหลบใต้โต๊ะป้องกันสิ่งของตกใส่ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่า อาคารนี้รับแรงสั่นไหวได้แค่ไหน ?

หลังเหตุการณ์วันที่ 28 มีนาคม 2568  แผ่นดินไหว ที่เคยเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับ คนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพ และอีกหลายพื้นที่ในประเทศไทย ก็กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวทันที เหตุการณ์นี้คล้ายกับตอนเกิดสึนามิ ปี 2547  เราบอกว่า ไม่รู้จัก และส่วนใหญ่ โทษไปที่ระบบเตือนภัย แต่จริงๆ แล้วหัวใจของการรับมือภัยพิบัติอยู่ที่ “การจัดการ”

หลักสูตรอย่าติด “กับดัก” ภัยเฉพาะถิ่น 

รองทวิดา มองว่า เป็นเรื่องที่ดีที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้มีการเพิ่มเติมหลักสูตร และแผนรับมือภัยธรรมชาติทุกรูปแบบ แต่ “การจัดการ” ให้เกิดการเรียนรู้เพื่อลดเสี่ยงและอยู่รอด ต้องอาศัยทั้งการสร้างความรู้และทักษะที่เหมาะสมตามวัย เช่น นักศึกษามหาวิทยาลัย ยกตัวอย่าง คณะรัฐศาสตร์ที่เคยสอน การออกแบบหลักสูตรจะแบ่งเป็นระบบการจัดการภัยพิบัติ70% วิทยาศาสตร์เบื้องต้น 30 %  บางหลักสูตร อาจเน้นวิศวกรรม 70% การสื่อสาร 30%เป็นต้น

ถ้าเป็นเด็กประถมศึกษาตอนต้น (ป.1-3) อาจตั้งโจทย์ว่า ทำอย่างไร? ให้เด็กที่เป็นกลุ่มเปราะบางได้เรียนรู้และสามารถเตรียมตัวรับมือกับภัยได้  ถ้าเป็นพี่ๆ ป.4-6 เขาต้องดูแลน้องๆ ได้คล้ายกับเหตุการณ์สึนามิ 2547 ที่เห็นภาพเด็กโตจับมือน้องๆ อพยพ  เมื่อขึ้นชั้น ม.ต้น ต้องเรียนรู้เทคนิค เรียนการใช้เครื่องมือต่างๆ ได้  ส่วน ม.ปลาย หรือ ปวช. สามารถเรียนรู้ไปเป็นผู้ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วงเกิดภัยพิบัติได้ 

สิ่งที่ต้องระมัดระวัง คือ ต้องไม่ทำให้เด็กเยาวชนที่เรียนรู้ตามหลักสูตรภัยพิบัติที่รัฐบาลจะผลักดัน รู้สึกว่า ตัวเองเป็น “ฮีโร่” มากเกินไป เพราะภัยพิบัติแต่ละประเภทมีระดับความรุนแรงของตัวเอง หากเกิดความผิดพลาดจะกลายเป็นตราบาปของเด็กไปตลอดชีวิตได้

อีกวิธีคิดหนึ่งที่ต้องท้าทาย สำหรับ หลักสูตรภัยพิบัติของไทย คือ การเรียนเฉพาะภัยใกล้ตัวหรือภัยที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในประเทศไทยเท่านั้น  

รองทวิดา บอกว่า เด็กไทยจำนวนไม่น้อยเดินทางไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน หรือ เป็นนักท่องเที่ยวอยู่ทั่วโลก การเรียนแค่ภัยเฉพาะที่เกิดในท้องถิ่น หรือ ภัยเฉพาะประเทศไทยอย่างเดียว จึงไม่เพียงพอ  ยกตัวอย่างหลังเกิดเหตุสึนามิปี 2547  เด็กไทยไปเรียนต่อหรือใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นเริ่มรู้จัก “สึนามิ” แล้ว แต่ญี่ปุ่นมีภัยอื่นๆ ที่คนที่จะไปเรียนหรือไปเที่ยวต้องรู้  หรือปัจจุบันเราจะเจอกับปัญหาการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศโลก “ความร้อน” ที่เพิ่มขึ้น ก็เป็นอีกภัยที่ต้องรับมือให้ถูกต้อง

 

Risk Map แผนที่เสี่ยง-แผนที่เรียนรู้  

กรุงเทพมหานคร เป็นพื้นที่ที่ได้ผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งนี้รุนแรงที่สุด 

ที่ผ่านมา โรงเรียนในสังกัด กทม. มีแผนปรับปรุงหลักสูตรและจัดการเรียนการสอนด้านภัยทุกภัยอยู่ แต่เครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยให้ คุณครูและเด็กๆ ไม่ว่า สังกัดไหนในกรุงเทพฯ หรือ ต่างจังหวัดที่สนใจนำไปประยุกต์ใช้ ก็คือ “แผนที่ความเสี่ยงกรุงเทพมหานคร” หรือ BKK Risk Map 

“แผนที่ความเสี่ยง” เป็นงานอีกชิ้นที่ อ.ทวิดา ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ใน กทม.ผลักดันจนสำเร็จและสามารถทำให้ความเสี่ยงจากภัยประเภทต่างๆ เช่น อุทกภัย อัคคีภัย ความปลอดภัยบนท้องถนน PM 2.5 ที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลสถิติต่างๆ แสดงออกในรูปแผนที่

ถ้ามองในมุมของการเรียนรู้  คุณครูและนักเรียนในกรุงเทพฯ สามารถคลิ๊กเข้าไปดูได้ว่า รอบๆ โรงเรียนหรือชุมชนที่อาศัยอยู่มีอะไรที่เป็นภัยเสี่ยงอยู่บ้าง ? จุดไหนมีความเสี่ยง มีความรุนแรงมากกว่ากัน เช่น  เรามีชุมชนที่มีความเสี่ยงไฟไหม้ แต่รถอะไรก็เข้าถึงยาก กว่า 200 แห่ง  

ที่ผ่านมา เราไม่เคยรู้รายละเอียดพวกนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เราสามารถเข้าถึงฐานข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับภัยได้มากขึ้น นั่นไม่เพียงแต่ทำให้ กทม. สามารถ “จัดการภัยพิบัติ” ได้ดีขึ้น แต่จะทำให้โรงเรียนสามารถใช้แผนที่ความเสี่ยง มาประกอบในการจัดการเรียนการสอนทำให้นักเรียนค้นหาข้อมูล ฝึกวิเคราะห์และเสนอทางออกในการจัดการภัย อย่างน้อยที่สุด คือ ตัวเด็กๆ และครอบครัว จะปลอดภัย 

 

ไปให้ถึงการสร้าง “วัฒนธรรมความปลอดภัย” 

รองทวิดา ยืนยันว่า หลักสูตรภัยพิบัติจะต้องไปให้ถึงแนวคิดที่ว่า วัฒนธรรมความปลอดภัย เราสามารถสร้างได้  แต่คำถาม คือ จะสร้างอย่างไรให้เท่าทันสถานการณ์ และไม่ให้ภาระไปตกหนักอยู่ที่ครูอย่างเดียว   

อดีตอาจารย์สอนด้านภัยพิบัติ เสนอเป็น 2 แนวทางที่สามารถทำคู่ขนานกันไปได้  แนวทางแรก-ส่วนกลาง พิจารณาว่า ภัยและความปลอดภัยที่อยู่ทั้งหมดเป็นอย่างไร? เพื่อจัดทำคล้ายๆ “หลักสูตรแกนกลาง” ที่ประกอบไปด้วยภัยต่างๆ ให้โรงเรียนเลือกไปจัดการเรียนการสอน โดยส่วนกลางมีหน้าที่สนับสนุนทรัพยากร  

อีกแนวทางหนึ่ง ก็คือ “หลักสูตรภัยเฉพาะพื้นที่” ด้วยการต่อยอดจากต้นทุนที่แต่ละพื้นที่ทำอยู่ เช่น จ.เชียงราย มีหลักสูตรรับมือแผ่นดินไหวอยู่แล้ว แต่ควรไปเพิ่มการรับมือภัยจากดินโคลนถล่ม

ทั้งสองหลักสูตรต้องทำควบคู่กัน แต่หัวใจสำคัญ คือ การฝึกทักษะการรับมือให้ละเอียดมากขึ้น เมื่อเด็กโตมากพอที่จะเดินทางไปสถานที่ต่างๆ ในภูมิภาคหรือต่างประเทศ ก็จะต้องค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือช่วงปฐมนิเทศก่อนการเดินทางไปประเทศที่มีความเสี่ยง เช่น ภัยจากภูเขาไฟระเบิด อาจทำเป็นคอร์สฝึกความรู้และทักษะการรับมือภัยด้านนี้โดยตรง

นี่เป็นมุมมองหนึ่งของ รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต่อการเดินหน้า “หลักสูตรภัยพิบัติ” ในวันที่แผ่นดินไหว อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนในการเรียนรู้ภัยพิบัติศึกษาในสังคมไทย 

 

 

บทความโดย พรวดี ลาทนาดี ศูนย์สื่อสาธารณะเพื่อเด็กและการเรียนรู้ ไทยพีบีเอส

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง
#ภัยพิบัติ, 
#แผ่นดินไหว 
ผู้เขียนบทความ
avatar
กองบรรณาธิการ ALTV
ALTV CI
ข่าว ALTV
ข่าว ALTV
ALTV News
ผู้เขียนบทความ
avatar
กองบรรณาธิการ ALTV
แท็กที่เกี่ยวข้อง
#ภัยพิบัติ, 
#แผ่นดินไหว 
แชร์
ฟัง
ชอบ
ติดตามเรา