ถือเป็นกีฬาชนิดเดียวเท่านั้น ในการแข่งขันโอลิมปิกที่คนกับสัตว์อยู่ในทีมเดียวกัน โดยชัยชนะจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับสัมพันธภาพที่มาจากความเชื่อใจและการยอมรับซึ่งกันและกันระหว่างคนกับม้า
กีฬาขี่ม้าถูกแบ่งออกเป็น 6 ประเภท
1.ศิลปการบังคับม้า (Dressage)
2.กระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง (Show jumping)
3.อีเว้นติ้ง (Eventing)
4.รถม้า (Driving)
5.ยิมนาสติกบนหลังม้า (Vaulting)
6.การขี่ม้าวิบาก (Endurance)
การแข่งขันโอลิมปิกในส่วนของกีฬาขี่ม้าจะมีเพียง 3 ประเภทเท่านั้น ที่ถูกนำไปใช้แข่งขัน ซึ่ง 3 ประเภทนั้นได้แก่ ศิลปะการบังคับม้า ,กระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง และอีเว้นติ้ง
ศิลปการบังคับม้า (Dressage)
ก่อนการแข่งขันผู้เข้าแข่งขันจะได้รับแบบทดสอบที่กำหนดว่าจะต้องทำท่าอะไรบ้างในเวลาที่กำหนดให้ เรียกว่าคะแนนจากท่าบังคับ โดยจะมีคะแนนเต็มข้อละ 10 คะแนน คะแนนแพ้ชนะดูจากคะแนนที่ได้รับในแต่ละข้อรวมกัน ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด คือผู้ชนะ
กระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง (Show jumping)
ประเภทนี้ คะแนนที่ทุกคนได้รับก่อนการแข่งขันคือ 0 คะแนนถ้านักกีฬาสามารถกระโดดข้ามเครื่องกีดขวางได้ทุกเครื่องโดยไม่ทำไม้ขวางตก ภายในเวลาที่กำหนดไว้ (วัดระยะทางไว้แล้ว) ก็จะมีคะแนนเป็น 0 คะแนน ถือเป็นคะแนนที่ดีที่สุด เพราะหากไม่สามารถข้ามสิ่งกีดขวางได้คะแนนก็จะติดลบตามจำนวนสิ่งกีดขวางที่ไม่สามารถข้ามได้ คะแนนเป็น 0 จึงถือเป็นคะแนนที่ดีที่สุด
อีเว้นติ้ง (Eventing)
เป็นประเภทที่ตื่นเต้น สนุกเร้าใจและยังสามารถมีโอกาสแก้ตัวได้ในวันต่อไป เนื่องจากกีฬาขี่ม้าประเภทนี้ต้องทดสอบถึง 3 แบบ คือศิลปะการบังคับม้า ,ข้ามภูมิประเทศ และกระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง แล้วเอาคะแนนทั้งหมดมารวมกัน ใครเสียคะแนนน้อยที่สุดคนนั้นเป็นผู้ชนะ
วันแรกจะเป็นการแข่งขันศิลปะการบังคับม้า ซึ่งเป็นกากรแข่งขันที่ไม่หนักมากนัก แต่ผู้ขี่ก็ต้องพยายามเก็บคะแนนให้ได้มากที่สุด เพราะเป็นการเก็บคะแนนสะสมไว้ในวันแรก
วันที่สองของการแข่งขันจะเป็น การแข่งขันข้ามภูมิประเทศ เป็นการแข่งขันความเร็ว และความทรหด อดทน
หลังจากผ่านการแข่งขันในภูมิประเทศ วันต่อไปจะเป็นการแข่งขันกระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง ซึ่งก่อนจะแข่งขันในแบบทดสอบนี้ได้ ม้าต้องได้รับการตรวจสุขภาพจากกรรมการตัดสินเสียก่อน เพื่อป้องกันการทารุณสัตว์
ห้ามพลาด! 21 ก.ค. - 8 ส.ค. 64 ร่วมส่งแรงใจเชียร์นักกีฬาไทย ไทยพีบีเอสร่วมถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 รับชมได้ทางไทยพีบีเอส ช่องหมายเลข 3 และทาง www.thaipbs.or.th/Live
ที่มา : ศูนย์วิชาการและเทคโนโลยีกีฬา