ALTV All Around
ALTV News
บทความอื่นจาก Thai PBS
ALTV All Around
ALTV News
บทความ Thai PBS
นับหนึ่งด้วยภูมิศาสตร์ เพิ่มโอกาสรอดจากภัยพิบัติ
แชร์
ฟัง
ชอบ
นับหนึ่งด้วยภูมิศาสตร์ เพิ่มโอกาสรอดจากภัยพิบัติ
28 เม.ย. 68 • 14.24 น. | 363 Views
ขนาดอักษร : กลาง
ALTV CI
“ทุกรอยเลื่อนในแถบประเทศไทย (รวมทั้ง สะกาย) สร้างสึนามิไม่ได้ ยกเว้น เขตมุดตัวสุมาตรา-อันดามัน”

นี่เป็นหนึ่งในข้อความที่ เพจมิตรเอิร์ธ โพสต์  หลังเหตุแผ่นดินไหวใหญ่ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ในช่วงที่สังคมไทยตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนก และตื่นตัวกับภัยพิบัติ ที่ไม่เคยคาดว่า จะกระทบถึงชีวิตและทรัพย์สินตนเองมาก่อน  นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนรับมือภัยธรรมชาติทุกรูปแบบ ทั้งระยะสั้น กลาง ยาว 

ศูนย์สื่อสาธารณะเพื่อเด็กและการเรียนรู้ ไทยพีบีเอส  ชวนศาสตราจารย์ด้านธรณีวิทยา แอดมินเพจมิตรเอิร์ธ พูดคุยว่า อะไรคือ พื้นฐานของการเรียนรู้สำคัญ ที่จะทำให้เด็กเยาวชนและสังคมไทย มีขีดความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างสุขุมรอบคอบขึ้น

 

“ถ้าโลก คือร่างกาย ภูมิประเทศ ก็คืออวัยวะ” นี่คือ มุมมองของ ศาสตราจารย์วสันต์ ภัยหลบลี้ ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและแอดมินเพจมิตรเอิร์ธ ที่ชวนให้เรามองและเข้าใจโลก ด้วยการชี้ให้เห็นความสำคัญของการสร้าง “Mind Map ภูมิศาสตร์” ให้กับเด็ก เยาวชน และคนไทย สามารถรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างตื่นรู้และปลอดภัยมากขึ้น

ปักหมุดแรก ดินโคลนถล่ม “แม่สาย”

ถ้าไม่นับเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง ประเทศเมียนมา เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2568 ก็ต้องยกให้เหตุน้ำป่าดินโคลนถล่ม อ.แม่สาย จ.เชียงราย ต้นเดือนกันยายน 2567 ที่ทำให้สังคมไทยช็อกกับภาพเมืองทั้งเมือง ที่จมอยู่ใต้ดินโคลนมหาศาลที่ไหลมาพร้อมกับ แม่น้ำสาย ที่มีต้นน้ำอยู่ในเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา

เหตุการณ์นี้ ศ.สันติ เรียกว่า เป็นความแคล้วคลาดของคนแม่สาย โดยอ้างข้อมูลและภาพถ่ายทางอากาศของกรมแผนที่ทหาร เมื่อปี 2497 ที่ระบุว่า แม่สาย เป็นชุมชนขนาดเล็กในหุบเขาที่อยู่ในโซนปลอดภัย มีพื้นที่ให้น้ำไหลได้สะดวก ต่อมาเมืองมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง กระทั่ง เมืองทั้งเมืองตกอยู่ใน “ภาวะจำยอม”  ผู้คนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่เดิมและย้ายมาใหม่ ไม่รู้ว่า กำลังอยู่ในจุดอ่อนไหว และเสี่ยง 

ในทางธรณีวิทยา ที่นี่ ตั้งอยู่บนเนินตะกอนรูปพัด ก่อนจะมีการตั้งถิ่นฐานขยายเป็นชุมชนแบบนี้ เคยมีดินโคลนไหลมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน  เหตุการณ์ปีที่ผ่านมา (2567) ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ยังมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นอีก และอาจมีความรุนแรงกว่าเดิมก็ได้  ดังนั้น การปรับปรุงเมืองให้สอดรับไปกับพลวัตของธรรมชาติ และทำให้ชุมชนได้เรียนรู้ว่า เมืองที่ตนอยู่มีความเสี่ยงแค่ไหน ? เป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐต้องทำเพื่อลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 

แนะรัฐเร่งสำรวจทำฐานข้อมูลเสี่ยงให้ชุมชน

 แอดมินเพจ มิตรเอิร์ธ ระบุว่า พื้นที่แบบเดียวกับหุบเขาแม่สายยังมีอีกมากในประเทศไทย ส่วนใหญ่ จะเป็นที่ราบลุ่มเชิงเขา คำถาม คือ จะทำให้คนใน “ชุมชน” มีฐานข้อมูลในการประเมินความเสี่ยง ได้อย่างไร ?

“เกือบทุกหมู่บ้านที่อยู่ติดเขา ที่ราบติดเขาที่มีรูน้ำไหลออกจากเขา เป็นรูรั่วจากภูเขา ทั้งหมด คือ พื้นที่อ่อนไหวต่อภัยดินโคลนไหลหลากเหมือนแม่สาย น้ำก้อน้ำชุน คีรีวง ลับแล”

ถ้าอธิบายจากแนวคิดทฤษฎีด้านภูมิศาสตร์และธรณีวิทยา พื้นที่ที่มีการเพาะปลูก และตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นที่ราบน้ำท่วมถึง นั่นหมายความว่า ตรงไหนเป็นนา ตรงนั้นน้ำมาถึง ต้องเตรียมความพร้อม รับน้ำได้ตลอดเวลา  “ถ้าดูจังหวัดสุโขทัย จะเห็นว่า มีบ้านเรือนเกาะกลุ่มตามทุ่งเป็นกระจุก การกระจายตัวเป็นกลุ่มๆ แบบนี้ ยังไงน้ำก็ล้อมไว้หมด ”

กรณีการสร้างชุมชนตามโค้งน้ำ แม้จะทราบกันดีว่า ไม่ควรอยู่โค้งน้ำด้านนอกเพราะต้องเผชิญกับปัญหาการกัดเซาะ ส่วนใหญ่ก็จะพบว่า มีชุมชนเข้าไปอาศัยอยู่ในโค้งน้ำด้านใน เพราะดินงอกทุกปี แต่ตรงที่ดินงอกจะเป็นพื้นที่ต่ำกว่าตลิ่ง  นั่นหมายความว่า วันไหนที่น้ำมามาก แม้ไม่ล้นตลิ่ง แต่ทั้งหมู่บ้านในโค้งน้ำด้านใน ก็รอดน้ำท่วมได้ยาก

ศ.สันติ ขยายภาพให้เห็นเมืองขนาดใหญ่หลายแห่งในประเทศไทย อย่าง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ตั้งอยู่บนสันทรายเก่าของแม่น้ำโขง ตัวเมืองนครศรีธรรมราช  ตัวเมืองปัตตานี ตั้งอยู่บนสันทรายริมทะเล ที่มีความอ่อนไหวต่อภัยน้ำท่วม ข้อมูลเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่ต้องสื่อสารให้ชุมชนรับรู้  แต่ถ้าจะทำให้รับมือกับภัยได้มากขึ้น รัฐต้องมีการศึกษาสำรวจเพิ่มเติมและทำให้ชุมชนมีฐานข้อมูลในการประเมินความเสี่ยงได้ด้วยตนเอง

ดันแนวคิด “แผนที่อ่อนไหว”

อีกแนวทางหนึ่งที่หลายประเทศใช้ในการรับมือกับภัยพิบัติ คือ การบริหารจัดการพื้นที่ ที่เรียกว่า การทำ “แผนที่อ่อนไหว” จากภัยพิบัติ เพื่อให้ประชาชนทราบว่า พื้นที่บริเวณใดเหมาะหรือไม่กับการอยู่อาศัย สมมุติว่า เกิด ตะพักธารน้ำ หรือ ที่ราบน้ำท่วมถึงในแม่น้ำ ก็จะถูกกันไว้เป็นพื้นที่สาธารณะประโยชน์  ไม่ให้อยู่อาศัย  หากเป็นพื้นที่ถัดไปที่ความเสี่ยงน้อยลง อาจจะพิจารณาให้พักอาศัยได้ แต่ต้องแลกกับการประกันภัยของประชาชนเอง  

 

“แผนที่อ่อนไหว ไม่ได้บอกว่า ภัยพิบัติจะเกิด แต่จะเป็นเครื่องมือบ่งชี้ว่า หากเกิดภัยพิบัติขึ้นแล้ว บริเวณที่เป็นพื้นที่อ่อนไหวสูงจะเกิดก่อน อ่อนไหวต่ำจะได้รับผลกระทบช้าสุด  เช่น แผนที่อ่อนไหวดินถล่ม จะบอกด้วยความชัน หากชันมาก จะอ่อนไหวมาก ชันน้อย อ่อนไหวน้อย ”

ในต่างประเทศใช้วิธีบริหารจัดการพื้นที่แบบนี้  ยกตัวอย่าง “ฮาวาย” สหรัฐอเมริกา  ที่จัดทำพื้นที่ความเสี่ยงจากลาวาไหลหลาก บางจุดอนุญาตให้อยู่ได้ แต่เก็บเบี้ยประกันแพง  ซึ่ง ศ.สันติ มองว่า เป็นแนวทางที่เหมาะสม โดยที่ประชาชนมีความรู้เกี่ยวกับภูมิศาสตร์เพื่อเอาตัวรอดจากภัยพิบัติได้มากกว่าครึ่ง โดยไม่สูญเสียวิถีชีวิต และ เป็นประโยชน์กับภาครัฐ ในเรื่องการบริหารจัดการเงินค่าชดเชยเยียวยา 

ต้องทำให้เกิด Mind Map ภูมิศาสตร์ 

ตามหลักวิชาการ ชุมชนที่อยู่ในพื้นที่อ่อนไหวและเสี่ยงจากภัยพิบัติ ควรย้าย  แต่กรณีประเทศญี่ปุ่น หรืออีกหลายประเทศ แม้กระทั่งในประเทศไทย เช่น อ.บางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติ แต่จะทำอย่างไรให้ คนอยู่ร่วมกับภัยพิบัติ ซึ่งเป็นมิติหนึ่งของชีวิตได้อย่างปลอดภัย

เมื่อถามว่า รัฐควรจะทำให้ประชาชนมีความรู้หรือเกิดการเรียนรู้เพื่อรับมือได้อย่างไร ? 

ศาสตราจารย์สันติ มองว่า สามารถทำได้หลายทางผ่านหลักสูตร ผ่านการสื่อสารเตือนภัย แต่ต้องทำให้เด็กเยาวชน และคนไทย มี “Mind Map ภูมิศาสตร์” และมีทักษะการเอาตัวรอดให้ได้  “สมมุติ แบบเรียนภัยพิบัติเรื่องนี้มี 10 หน้า ต้องให้พื้นที่กับการเรียนรู้ภัย 2 หน้า ภูมิศาสตร์ 4 หน้า และการอพยพ 4  หน้า”  หรือการสื่อสารเตือนภัย ยกตัวอย่าง  เกิดเหตุน้ำป่าไหลจากดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ การเตือนภัยจะต้องทำให้เห็นว่า เส้นทางน้ำป่าที่ไหลจากดอยสุเทพจะไปทางไหน ใครอยู่ในเส้นทางที่น้ำป่าจะไหลผ่านบ้าง จะอพยพหรือหลบไปทางไหนถึงจะปลอดภัย 

ศ.สันติ ย้ำว่า การเรียนรู้เพื่อรับมือกับภัยพิบัติที่เชื่อมโยงกับภูมิศาสตร์ ต้องเรียนรู้กันตั้งแต่เด็กๆ และเป็นการเรียนรู้ที่มีความเฉพาะในแต่ละพื้นที่ เช่น ถ้าจะเรียนรู้เกี่ยวกับน้ำท่วม ภาคกลางเป็นน้ำล้นตลิ่ง ภาคเหนือและภาคใต้ เป็นน้ำหลาก ซึ่งต้องเรียนควบคู่ไปกับดินโคลนถล่ม แต่อีกด้านหนึ่ง ก็ต้องเตรียมการเรียนรู้สำหรับการเดินทางหรือย้ายถิ่นของเด็กๆ ที่อาจจะไปเจอภัยด้านอื่นๆ ด้วย.

 

บทความโดย พรวดี ลาทนาดี ศูนย์สื่อสาธารณะเพื่อเด็กและการเรียนรู้ ไทยพีบีเอส 

แท็กที่เกี่ยวข้อง
#แผ่นดินไหว, 
#อุทกภัย, 
#ภัยพิบัติ 
ผู้เขียนบทความ
avatar
กองบรรณาธิการ ALTV
ALTV CI
ข่าว ALTV
ข่าว ALTV
ALTV News
ผู้เขียนบทความ
avatar
กองบรรณาธิการ ALTV
แท็กที่เกี่ยวข้อง
#แผ่นดินไหว, 
#อุทกภัย, 
#ภัยพิบัติ 
แชร์
ฟัง
ชอบ
ติดตามเรา