ยุคนี้ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไร ก็ต้องมีโลโก้ (Logo) ของแบรนด์สินค้าเต็มไปหมด เพราะโลโก้คือ เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ (Symbolism) ที่สื่อถึงตัวตนของบุคคล สินค้า หรือองค์กรนั้น ให้จดจำง่าย แค่มองแว้บเดียวก็รู้ว่าเครื่องหมายนี้เป็นใคร การออกแบบโลโก้จึงต้องเรียบง่ายและสื่อความหมายชัดเจน
สัญลักษณ์แทนการสื่อสาร ถูกใช้ตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ ชาวอียิปต์โบราณสื่อสารกันโดยใช้ชุดอักษรภาพ ย้อนไปประมาณ ค.ศ. 1300 โลโก้เวอร์ชันแรก ๆ มาในรูปแบบตราประจำตระกูลโดยใช้อักษรอียิปต์โบราณ ต่อมามีการใช้รูปภาพเป็นสัญลักษณ์แทนคำพูด บนฝาผนัง หรือประติมากรรม โดยใช้สีสื่อความหมายเจาะจง
โลโก้ ตราสินค้า หรือไอคอนต่าง ๆ มีทั้งรูปแบบตัวการ์ตูน อัตลักษณ์ของบุคคล โดยส่วนมากจะนิยมใช้อักษรย่อ หรือคำสั้น ๆ มาดูกันว่าแต่ละโลโก้มีแรงบันดาลใจและความหมายอะไรซ่อนอยู่กันบ้าง
ใครที่เป็นสาวกซุปเปอร์ฮีโรไม่มีใครไม่รู้จัก “กัปตันอเมริกา” หนึ่งในตัวละครหลักจาก Marvel Cinematic Universe หรือจักรวาล Marvel ไม่บอกก็รู้ว่าชื่อกัปตันอเมริกาเป็นคนสัญชาติอะไร
จุดเริ่มต้น Captain America
สตีฟ โรเจอร์ส เป็นทหารที่ศักยภาพทางด้านร่างกายต่ำกว่าเกณฑ์ โดยอาสาเข้าร่วมโครงการ “Super Soldier” ของดร.เออร์สกิน เมื่อแพทย์ถูกสังหารหลังจากการสาธิตของโครงการ ในตอนนั้นเขาจึงกลายเป็นทหารระดับสูงเพียงคนเดียวของสหรัฐฯ ต่อมาเมื่อมีการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาได้รับมอบหมายให้นำทีมหน่วยคอมมานโดเพื่อปฏิบัติการพิเศษ รณรงค์เพื่อปลุกจิตวิญญาณของผู้คนในยามสงคราม ในนาม “กัปตันอเมริกา” เป็นตัวแทนของความเสรีภาพและความยุติธรรม ต่อสู้เพื่อสิ่งที่เขาเชื่อว่าถูกต้อง ในศตวรรษที่ 21 เขาเข้าร่วมกับ "ทีมอเวนเจอร์ส" เพื่อช่วยเหลือและปกป้องพลเมืองจากเหล่าร้าย
ภาพจาก Marvel Studio
โลโก้ Captain America เท่สมชื่อ
“โล่” ถือเป็นจุดเด่นของกัปตันอเมริกา เป็นทั้งอาวุธและเกาะป้องกันจน ออกแบบโดย ฮาวเวิร์ด สตาร์ค และเป็นที่รู้จักในกลุ่มนาซีในฐานะคนที่ไม่สามารถเอาชนะได้ ความโดดเด่นของโล่ ประกอบด้วยดาว สีแดง สีน้ำเงิน และสีขาว ที่มาจากธงชาติอเมริกา เรียกว่า "The Stars and Stripes" หมายถึงเสรีภาพและความยุติธรรมของพลเมืองอเมริกันทุกคนอันมีความสำคัญสูงสุด จากโลโก้ฉบับการ์ตูนมาอยู่ในโปสเตอร์ภาพยนตร์ มีการถูกออกแบบใหม่ให้ทันสมัย โดยใช้เพียงตัวอักษรโลหะคำว่า "Captain America" แต่โดยรวมยังคงอยู่ภายใต้คอนเซปต์ธงชาติอเมริกา ถือว่าเป็นการสร้างภาพลักษณ์
Pinterest เป็นเว็บไซต์สังคมออนไลน์ทำหน้าที่เปรียบเหมือนเป็น “กระดานงานดิจิทัล” หรือที่เรียกว่า “บอร์ด” สำหรับสร้างสรรค์และแชร์ผลงาน ภาพถ่าย งานกราฟิกสู่โลกโซเชียล หลายคนคุ้นเคยและเข้าไปใช้งานบ่อยเวลาต้องการค้นหาไอเดียต่าง ๆ อย่างเช่น การแต่งห้องนอน การวาดภาพ ตัวอย่างงานอาร์ตเวิร์ค เรามักจะนึกถึง Pinterest เป็นอันดับต้น ๆ นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มรูปภาพและสร้างคอลเลกชันผลงานที่ชื่นชอบได้ด้วยการ “ปักหมุด”
จุดเริ่มต้น Pinterest
Pinterest เป็นพื้นที่แบ่งปันรูปภาพของชาวโซเชียล โดยออกแบบให้สามารถบันทึกรูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว GIF และวิดีโอคลิปสั้น ๆ ไว้เก็บเป็นคอลเลกชันไอเดียไว้บนแพลตฟอร์มนี้ได้ เปิดตัวในปี 2010 ก่อตั้งโดย Ben Silbermann, Paul Sciarra และ Evan Sharp ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นจากแอปพลิเคชันที่ชื่อว่า "Tote" ซึ่งผู้ใช้งานจำนวนมากชอบรวบรวมคอลเลกชันรายการโปรดและแบ่งปันให้กับผู้ใช้รายอื่น จึงได้ไอเดียนี้มาเปิดตัวเว็บไซต์ Pinterest โดยทดลองเปิดให้ใช้งานแบบเบต้า แต่แพลตฟอร์มไม่ยังไม่ถูกใช้งานมากเท่าที่ควร และยังน้อยกว่าคู่แข่งอย่าง Instagram มาก หลังจากพัฒนาระบบให้ดีขึ้นในปี 2011 จำนวนผู้ใช้เริ่มเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณกลายเป็นที่รู้จักกลายเป็น 1 ใน 10 บริการเครือข่ายโซเชียลที่ใหญ่ที่สุด "50 Best Websites of 2011" โดยนิตยสาร Time และได้รับรางวัล Best New Startup ประจำปี 2011 จากหนังสือพิมพ์ออนไลน์ TechCrunch Crunchies Awards ปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่ในซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย
โลโก้เวอร์ชันแรกในปี 2010 ที่มีความซับซ้อนไม่สบายตา
โลโก้ Pinterest สั้น ง่าย ได้ใจความ
โลโก้เวอร์ชันแรกในปี 2010 สร้างขึ้นโดยใช้แบบอักษร Bello Script เพื่อให้มีกลิ่นอายของการเขียนด้วยลายมือ โดยใช้ข้อความหลักเป็นสีดำ เพิ่มขอบสีขาวหนาและมีขอบสีเทาด้านนอกอีกหนึ่งชั้น บนเงาสีฟ้าอ่อน ซึ่งค่อนข้างรบกวนสายตา เพราะองค์ประกอบหลากหลายเกินไป ต่อมาในปี 2011 ไอคอน Pinterest ได้ถูกปรับใหม่ไฉไลกว่าเดิม เป็นวงกลมสีแดงทึบพร้อมตัวอักษร "P" สีขาวเรียบ ๆ ตรงปลายคล้ายหมุด โดยใช้สีแดงและสีขาวเพื่อให้ดูสะดุดตา แต่ยังคงความมินิมอล
ความหมายของคำว่า Pinterest มาจากคำว่า Pin ที่แปลว่า “หมุด” และ Interest ที่แปลว่า ความสนใจ ในมุมมองที่ทันสมัยและสดใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับการใช้งาน คือ “ชอบอันไหนก็ปักหมุดไว้เลย” สำหรับโลโก้ที่ออกแบบใหม่ตั้งแต่ปี 2011 จนถึงปัจจุบัน ถูกลดทอนความซับซ้อนให้จดจำง่ายขึ้น เป็นไอคอนตัว P ที่ย่อมาจาก “Pin” หรือหมุด เป็นตัวอักษรสีขาวบนพื้นที่แดง
สัญลักษณ์ “หน้ายิ้ม” หรือ Smiley ที่หลายคนชอบใช้เป็นประจำ เช่น ส่งสติกเกอร์ อีโมติคอน และไฟล์ GIF รวมถึงแบรนด์ข้าวของดัง ๆ อย่างเสื้อผ้า,แบรนด์รองเท้า, ของตกแต่งบ้าน, สินค้าเทคโนโลยี และอื่น ๆ ก็ยังใช้ Smiley มาสร้างลวดลายบนสินค้าด้วย
จุดเริ่มต้น Smiley
โลโก้หน้ายิ้ม Smiley ออกแบบครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1963 บริษัทประกันแห่งหนึ่งจ้างให้ ฮาร์วีย์ รอสส์ บอลล์ (Harvey Ross Ball) มาช่วยออกแบบโลโก้เพื่อปลุกขวัญและกำลังใจในการทำงาน ฮาร์วีย์ใช้เวลาออกแบบเพียง 10 นาทีด้วยการวาดวงกลมและรอยยิ้มบนกระดาษสีเหลืองมองแล้วให้ความรู้สึกสว่างสดใส และบริษัทนำไปผลิตเป็นเข็มกลัดติดเสื้อพนักงานเวลาออกไปหาลูกค้า ทำให้โลโก้หน้ายิ้มเป็นที่หลงใหลของผู้พบเห็นในวงกว้าง
ฮาร์วีย์ บอลล์ ออกแบบวงกลมและรอยยิ้ม บนกระดาษสีเหลืองที่เต็มไปด้วยความสดใส
ต่อมาปี 1972 นักข่าวหนังสือพิมพ์ แฟรงคลิน ลูฟรานี (Franklin Loufrani) เป็นเพียงไอคอนในคอลัมภ์หนึ่งของหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส French Soir ที่ออกแบบมาหวังกระตุ้นให้ประชาชนได้ “หาเวลามาแจกยิ้มกันบ้าง" (Prenez le temps de sourire) ต่อมาแฟรงคลินก็สร้างแบรนด์เล็กๆ ชื่อว่า “เดอะ สไมลีย์ คอมพานี” โดยจุดขาย คือ “รอยยิ้มแห่งความสุข” ต่อมาทายาทรุ่นสองของครอบครัวลูฟรานี นิโคลาส์ ลูฟรานี (Nicolas Loufrani) เข้ามาสืบทอดธุรกิจต่อจากพ่อ และได้สังเกตเห็นว่าผู้คนเริ่มมีการสื่อสาร emoticons ในยุคอินเทอร์เน็ต จึงพัฒนาไอคอน Smiley รูปแบบหลากหลาย เพื่อใช้เป็นเครื่องหมายวรรคตอนแทนความรู้สึก สำหรับส่งเป็นข้อความบนมือถือ แชทออนไลน์ และทางอีเมล์
ไอคอนหน้ายิ้มในคอลัมภ์ Prenez le temps de sourire หนังสือพิมพ์ French Soir : ภาพจาก emojiall.com
ไอคอน Smiley ต้นกำเนิดอิโมจิ
ในช่วงเปลี่ยนผ่านธุรกิจแอนะล็อกสู่ยุคดิจิทัล Smiley ถูกใช้สื่ออารมณ์เป็น “อิโมจิ” ที่หลากหลายคำพูด ครั้งหนึ่งบริษัทเคยจัดทำคู่มือสำหรับอธิบายความหมายของไอคอน “Smiley” กว่าหลายพันหน้า เรียกว่า “Smiley Dictionary” หรือ “พจนานุกรมภาษาภาพหน้ายิ้ม” และพัฒนาหน้ายิ้มที่หลากหลายความรู้สึกมาจนถึงปัจจุบัน
เหตุผลที่ทำให้หน้ายิ้มเป็นสีเหลือง ในทางจิตวิทยาสีเหลืองเป็นสีที่สว่างสดใส รู้สึกอบอุ่น และมีความหวัง
ใบหน้ายิ้มได้กลายเป็นที่นิยมและเป็นหนึ่งในโลโก้ที่เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมฮิปปี้ มันมีบทบาทในเครื่องแต่งกาย การ์ตูน และอัลบั้มเพลงต่าง ๆ และกลายเป็นสัญลักษณ์ของ "วันยิ้มโลก" คือวันที่ 7 ตุลาคมของทุกปี
สไมลีย์ไม่ใช่แบรนด์ที่ขายคาแรคเตอร์ อย่างค่ายดีสนีย์ มาร์เวลส์ ดีซีคอมมิคส์ แต่ทำธุรกิจแบบ “Co-creation” คือเป็นพาร์ทเนอร์กับแบรนด์ต่าง ๆ โดย DNA ของแบรนด์ คือการส่งต่อความสุข และคิดบวก สามารถเข้าถึงได้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกภาษา และทุกชาติ แบรนด์ต่างๆ จึงสามารถนำไปปรับใช้กับแบรนด์ของตนเองได้ เพื่อนำเทรนด์แฟชั่นและความรู้สึก “ฟีลกู้ด” มาสู่ผู้คน
อาดิดาส หรือ Adidas เป็นแฟชั่นกีฬาชั้นนำระดับโลกที่ครองคนทุกเพศ ทุกวัย นอกจากรองเท้าและเสื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว โลโก้ยังมีความพิเศษพร้อมความหมายแอบแฝงที่น่าสนใจถึง 3 โลโก้
จุดเริ่มต้น Adidas
Adidas เป็นแบรนด์กีฬาสัญชาติเยอรมัน ก่อตั้งโดย อดอล์ฟ “อาดิ” ดาสเลอร์ (Adolf "Adi" Dassler) แต่ก่อนจะมาเป็น Adidas เริ่มแรก อดอล์ฟ ร่วมมือกับน้องชายชื่อ รูดอล์ฟ “รูดิ” ดาสเลอร์ (Rudolf “Rudi” Dassler) ผลิตรองเท้ากีฬาที่แข็งแรงและมีน้ำหนักเบา โดยใช้ชื่อแบรนด์ว่า “Dassler” ตามนามสกุล ต่อมาในปี 1924 ได้เปิดกิจการอย่างเป็นทางการ ภายใต้ชื่อแบรนด์ “Gebrüder Dassler Schuhfabrik” แบรนด์ Dassler เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬาเจ้าแรก ๆ ในโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1936 ด้วยการสนับสนุน “รองเท้าสตั๊ด” ให้กับนักวิ่ง Jesse Owens ตลอดการแข่งขัน และสามารถคว้าได้ถึง 4 เหรียญทองในปีนั้น ทำให้รองเท้าได้รับความนิยมอย่างถล่มทลาย และในเวลาต่อมา ทั้งสองได้แยกกันออกไปทำคนละแบรนด์รองเท้าเป็นของตัวเอง โดยที่ อดอล์ฟ ยัง ทำแบรนด์เดิมภายหลังเปลี่ยนมาใช้ชื่อ “Adidas” ที่มาจากชื่อ Adi ส่วนน้องชาย รูดิ ได้มาทำแบรนด์ “Ruda” ต่อมาเปลี่ยนเป็น “Puma”
โลโก้ยุคแรก ๆ ของ Adidas
โลโก้ 3 แบบของ อาดิดาส
#1 Three-stripe logo : แถบสามเส้น
ซิกเนเชอร์โลโก้นี้ประกอบด้วย “แถบสามเส้นวางขนานเท่า ๆ กัน” กลายเป็นโลโก้ของแบรนด์ Adidas อย่างเป็นทางการ ก่อนหน้านี้เคยเป็นของแบรนด์รองเท้ากีฬาสัญชาติฟินแลนด์ชื่อ Karhu Sports หลังการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1952 ว่ากันว่าเจ้าของเครื่องหมายการค้านี้ขายให้ Adidas ในราคาเพียง 1,600 ยูโร หรือราว 1,797 ดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมกับวิสกี้อีกสองขวด “สัญลักษณ์สามแถบ” อยู่บนรองเท้ากีฬาทุกรุ่นของ Adidas โดยเรียกตัวเองว่า “Three stripe company” สื่อถึงความหลากหลายและน่าดึงดูดใจในระดับสากล และหมายถึงดินแดนทั้งสามที่จำหน่ายรองเท้า Adidas ได้แก่ อเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย
#2 The Trefoil logo : ใบไม้สามแฉก
ในปี 1971 บริษัทเริ่มผลิตเสื้อผ้าจึงได้เปิดตัวโลโก้ Adidas สามแถบที่อยู่บนใบไม้สามแฉก เรียกว่า "The Trefoil" เพื่อแสดงความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ในขณะเดียวกันก็ยังคงสัญลักษณ์สามแถบไว้ด้วย โลโก้เฉพาะกิจนี้ช่วยให้แบรนด์เข้ากับวัฒนธรรมพ็อป (Pop Culture) ที่หลายวงดนตรีดัง ๆ หยิบมาสวมใส่ เช่น The Doors, The Sex Pistols, Bob Marley และ David Bowie เป็นต้น
#3 The Mountain Logo : สามแถบเฉียง
ในช่วงยุค 90 Adidas เพิ่มความหมายให้กับโลโก้ โดยเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ รูปสามเหลี่ยมที่คล้าย “ภูเขาที่ลาดชัน” หมายถึง “การเอาชนะความท้าทาย” ปัจจุบันมีการปรับโลโก้ใหม่อีกครั้งโดยไม่มีคำว่า “Adidas” ใช้สำหรับสินค้า Adidas Performance ทั้งหมด เช่น ชุดคิท เสื้อฝึกซ้อม กางเกงขาสั้น ถุงเท้า เป็นต้น
เดอะ โรลลิง สโตนส์ (The Rolling Stones) วงดนตรีร็อกระดับโลกที่ดังเป็นพลุแตกช่วงยุค 60 ชนิดที่ว่าไปเล่นคอนเสิร์ตที่ไหนสเตเดียมเต็มทุกที่ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โลโก้ของวงกลายเป็นสัญลักษณ์แฟชั่นที่ทรงพลัง ผู้คนจำนวนมากซื้อเสื้อผ้าที่มีโลโก้ของ Rolling Stones ทั้งที่ไม่รู้จัก
มิก แจ็กเกอร์ นักร้องนำวง The Rolling Stones
จุดเริ่มต้น The Rolling Stones
The Rolling Stones หรือวงหินกลิ้งเป็นวงร็อกอังกฤษ ฟอร์มวงในปี 1962 มีไบรอัน โจนส์เป็นหัวหน้าวงและร้องนำ ต่อมาด้วยความไม่ลงรอยกันของสมาชิกในวง ทำให้ “มิก แจ็กเกอร์” (Mick Jagger) เข้ามาเป็นตำแหน่งร้องนำแทน โดยมีสไตล์การเล่นแนวชิคาโกบลูส์ (Chicago Blues) คือแนวบลูส์อเมริกันและร็อกแอนด์โรล ซิงเกิลที่โด่งดัง ได้แก่เพลง (I Can't Get No) Satisfaction" รวมทั้งเพลง Paint It Black ในอัลบั้ม Aftermath ประสบความสำเร็จเป็นที่รู้จักเป็นครั้งแรกในฝั่งสหราชอาณาจักร ต่อมาเป็นที่รู้จักกว้างขวางในฝั่งอเมริกา หลังจากไปออกรายการ "British Invasion" ในขณะเดียวกันก็ถูกเรียกว่าเป็นวง "Bad boy" ตรงกันข้ามกับวงคู่แข่งอย่าง “เดอะบีทเทิลส์” (The beatle) โดยสิ้นเชิง คือ ไว้ผมยาวรุงรังและต่อต้านสังคม ปัจจุบันมีสมาชิกเพียง 4 คน ได้แก่
เดอะโรลลิงสโตนส์ออกอัลบั้มมาแล้วกว่า 30 อัลบั้ม และอัลบั้มล่าสุดชื่อ Blue & Lonesome ออกในปี 2016
ภาพวาดพระแม่กาลี เทพเจ้าศาสนาฮินดู
โลโก้ The Rolling Stones ได้มาอย่างไร ?
สัญลักษณ์รูปปากแดงแลบลิ้นของเดอะโรลลิงสโตนส์ ยืนหนึ่งเป็นที่จดจำมาจนถึงปัจจุบัน “มิก แจ็กเกอร์” นักร้องนำได้จ้างให้นักศึกษาศิลปะชื่อ “จอห์น แพช” (John Pasche) จากวิทยาลัย “The Royal College of Art in London” เป็นผู้ออกแบบ โจทย์คือ ต้องตีความจากรูปวาดเจ้าแม่กาลี เทพเจ้าของศาสนาฮินดูให้เข้ากับวงเพราะ มิค คลั่งไคล้เทพองค์นี้เอามากๆ สุดท้ายก็ได้หลอมรวมเอาภาพลักษณ์หัวขบถและฝีปากจัดจ้านของวง บวกกับริมฝีปากอันอวบอิ่มของนักร้องนำ มิก แจ็กเกอร์ มารวมรูปพระแม่กาลีที่ทาปากแดงแลบลิ้นยาว จนมันออกมาเป็นสัญลักษณ์ “ปากแดงแลบลิ้น” อย่างที่เห็น
ปัจจุบันแบบดราฟท์แรกของโลโก้รูปปากแดงแลบลิ้นของเดอะโรลลิงสโตนส์ได้รับการเก็บรักษาไว้ที่ Victoria and Albert Museum ถูกประมูลมาด้วยราคา 92,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ราวๆ 3 ล้านกว่าบาท
มีโลโก้ แล้วคูลอย่างไร ?
ประโยชน์ของโลโก้ คือ จดจำได้ง่ายและเป็นสากล ไร้ข้อจำกัดทางภาษา มีความกระชับมากกว่าการใช้ข้อความ อีกทั้งยังประหยัดพื้นที่ในการออกแบบต่าง ๆ ซึ่งตัวสัญลักษณ์สามารถย่อ-ขยายได้ตามต้องการ
การสร้างตัวตนให้คนจดจำมีความสำคัญมากในโลกออนไลน์ วิธีออกแบบโลโก้ให้น่าสนใจต้องทำอย่างไร? สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ใน Game Caster เล่นให้เด็กมันส์ดู ทาง ALTV