สถานการณ์โควิดในช่วงสองปีที่ผ่านมา ต้องเรียกว่าเป็นช่วงปราบเซียน ที่ทำให้หลายคนต้องลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนรูปแบบการชีวิตด้วยวิธีต่าง ๆ จนได้พบศักยภาพในตัวเองที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะทำได้ เพราะทักษะบางอย่างมันก็ดูเป็นเรื่องที่เคยไกลตัวเสียเหลือเกิน
แต่ไม่เคยทำ ก็ไม่ได้แปลว่าทำไม่ได้
นักดนตรีกลางคืนเป็นอีกอาชีพที่ใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากมากในช่วงการระบาดของโควิด บาร์จะเปิดหรือจะปิด ต้องลุ้นกันวันต่อวัน พอรายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องแขวนอยู่บนเส้นด้าย นักดนตรีหลายคนเลยต้องลุกขึ้นมาหาอาชีพสำรอง
“เดี๋ยววันนี้ผมจะให้พี่ลอง Cacao สามตัวนะครับ จากเพชรบูรณ์ เชียงราย ระยอง”
นักดนตรีที่อยู่หลังบาร์ในร้านกาแฟ Kokomary ซอยอ่อนนุช คนนี้ก็เช่นกัน เท้มเป็นนักดนตรีร่างใหญ่ บุคลิกลักษณะภายนอกอาจจะดูฮาร์ดคอสักหน่อย แต่พอได้นั่งคุยด้วยจริง ๆ แล้ว เขากลับเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน เข้าถึงง่าย ขัดกับบุคลิกที่เห็นภายนอกโดยสิ้นเชิง
เท้มกำลังเตรียมวัตถุดิบสำหรับการต้ม Cacao ซึ่งครั้งหนึ่งฉันเคยได้ลองชิม Cacao ของเท้มที่เชียงใหม่ เกิดติดใจในรสชาตินั้น ก็เลยตามมาที่ร้านของเท้มเพราะอยากลองชิม Cacao ตัวอื่น ๆ อีก
เท้มเป็นนักดนตรีกลางคืน ที่เพิ่งมาค้นพบตัวเองในช่วงโควิดว่า มีความสนใจในศาสตร์ของ Spiritual โดยเฉพาะเรื่องของไม้หอมพาโรซานโต (Palo Santo) ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นในการศึกษาศาสตร์ทางจิตวิญญาณของเขา จนวันที่ประสบปัญหารายได้ในช่วงโควิด เท้มกับเพื่อนเลยลองเปิดร้านกาแฟจิ๋วๆ ขึ้นในซอยอ่อนนุช ซึ่งร้านนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ของอาร์ตคอมมูนิตี้ที่รวมไว้ด้วยกลุ่มศิลปินและนักดนตรี โดยมุมหนึ่งของร้านเป็นพื้นที่ขายของ ถ้วยจานเซรามิก ออกแนว Selected Shop มีเคาน์เตอร์บาร์เล็ก ๆ สำหรับขายเครื่องดื่ม กาแฟ ขาเขียวมัจฉะ และ Cacao ซึ่งตอนนั้นเท้มไม่มีความรู้เรื่อง Cacao เลย
Cacao ที่เขาเข้าใจในตอนนั้น คือการใส่ผงโกโก้สำเร็จรูปลงไปต้มกับน้ำร้อน ผสมด้วยนม น้ำตาล และอาจตามด้วยน้ำแข็ง สำหรับลูกค้าที่ชอบดื่มแบบเย็น
“ช่วงนั้น อินกับภูมิปัญญาในเรื่องของ Spiritual ทางฝั่งอเมริกากลางและอเมริกาใต้มากครับ เพราะมันเชื่อมโยงกับดนตรี กับเรื่องแฟชั่นในยุคฮิปปี้ ยุคบุปผาชน ที่เราสนใจอยู่แล้ว หรือเรื่องของพวกพืชยา (Plant Medicine) ที่เขาเอามาใช้ในการบำบัดโรค ทั้งทางกายและใจ ซึ่ง Cacao เองก็มีความเชื่อมโยงกับ Spiritual ในเรื่องของพิธีกรรม เริ่มตั้งแต่เมื่อสามสี่พันปีก่อนคริสตกาลกับวัฒนธรรมการดื่ม Cacao ของชนเผ่ามายาจากความเชื่อในเรื่องของการเป็นอาหารยา เป็นอาหารจากทวยเทพ สมัยนั้นมันไม่ได้มีข้อมูลทางการแพทย์มานั่งอธิบายว่าใน Cacao มันเป็นแหล่งรวมของสารต้านอนุมูลอิสระนะ ช่วยบรรเทาโรคเครียด โรคซึมเศร้า ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ พวกชนเผ่าในเวลานั้นรู้แค่ว่า พอกินแล้วมันตื่นตัว อารมณ์ดี มีกำลังวังชา มันรักษาอาการป่วยที่ไม่รู้สาเหตุของเขาได้ เขาก็เลยมองว่า Cacao เป็นเครื่องดื่มที่เทพประทาน เป็นเครื่องดื่มศักดิ์สิทธิ์ และในอดีตก็ยังใช้แลกเปลี่ยนแทนเงินตราด้วย”
ด้วยความใฝ่รู้ในเรื่องจิตวิญญาณ นำมาสู่การศึกษาในเรื่อง Cacao แบบเชิงลึก ยิ่งค้นคว้า เท้มก็ยิ่งเกิดคำถามมากมายไม่รู้จบ เด็กเนิร์ดในคราบนักดนตรีเลยเริ่มหาคำตอบด้วยตัวเองจากช่องทางต่าง ๆ ทั้งการศึกษาทางอินเทอร์เน็ต การเข้าร่วมเวิร์กช็อปต่าง ๆ การอ่านหนังสือ การเข้าไปอยู่ในกลุ่มของผู้สนใจในเรื่องของ Cacao
“จำได้ มีอยู่คืนหนึ่งเราเปิดเพลงแอฟริกันดังลั่นห้องนอนเลย เต้นอยู่คนเดียว คืนนั้นรู้สึกไฮมาก ซึ่งความไฮในคืนนั้น มันมาจากการกิน Cacao เราไม่รู้นะว่าเวลาที่คนอื่นกิน เขาไฮกันหรือเปล่า แต่เราเป็น ความรู้สึกในคืนนั้นมันเป็นสัญญาณแรกที่บอกว่า เราควรจะลองศึกษาเรื่อง Cacao อย่างจริงจัง เรารู้สึกอิน รู้สึกสัมพันธ์ พอได้ค้นคว้าไปเรื่อย ๆ ก็พบว่า โอ้โฮ Cacao นี่มันอุดมไปด้วยสารอาหารเพียบเลยนะ ช่วยทั้งลดความดันในเลือด ช่วยเรื่องโรคหัวใจ มีสารที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งเซโรโทนินและเอ็นโดฟินออกมา เฮ้ย มันเจ๋งมาก ไม่ได้การแล้ว เราจะต้องเข้าใจมันให้ได้ จากคืนนั้นเราก็เลยเริ่มศึกษาเรื่องของ Raw Cacao (โกโก้ดิบที่ยังไม่ผ่านกระบวนการแปรรูป) จากภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย ที่แต่ละท้องถิ่นจะมีรสชาติและเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกัน”
หลังศึกษา Cacao ไปได้สักระยะใหญ่ เท้มก็ทดลองเปิดเป็น Cacao Course ขึ้นที่ร้านกาแฟของเขา เพื่อให้คนได้มาสัมผัสกับประสบการณ์ของการกินและดื่ม Cacao สายพันธุ์ไทยจากจังหวัดต่างๆ กับการส่งต่อความรู้ในเรื่องของรสชาติ ถิ่นปลูก และกระบวนการผลิต Cacao ตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำ
เท้มนำ Raw Cacao ที่คัดสรรมาแล้ว มาผ่านการต้ม ดื่มได้ทั้งแบบร้อนและเย็น รวมไปถึงการนำวัตถุดิบอื่น ๆ มาผสมผสาน เช่น พริกเม็กซิกัน กัญชง เปลือกโกโก้ ชาสมุนไพร ดอกกุหลาบแห้ง ฯ
ต่อหนึ่งคอร์ส ลูกค้าจะได้ชิม Cacao ร้อนจาก 3 แหล่งวัตถุดิบ โดยแก้วที่ 4 จะเป็นแก้วพิเศษ ที่เท้มจะผสม Cacao จากต่างถิ่นฐานเข้าไว้ด้วยกัน ร่วมด้วยวัตถุดิบประจำวันของทางร้าน
นอกจาก Cacao Course แล้ว เท้มยังนำเสนอเครื่องดื่ม Cacao ในรูปแบบของ Cacao Ceremony กับพิธีกรรมบูชา Cacao ที่จะนำเข้าไปร่วมในงานอีเวนต์แบบเฉพาะกิจเท่านั้น เพราะเรื่องของพิธีกรรมนี้เป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม คนที่ไม่เคยศึกษาศาสตร์ทางจิตวิญญาณมาก่อนเลย ก็อาจจะไม่เก็ต
“ด้วยความที่ Cacao มันอุดมด้วยคุณประโยชน์มหาศาลจริง ๆ ยิ่งศึกษา เราก็ยิ่งรู้สึกว่าเราอยากให้คนได้กินสิ่งนี้ รสชาติ Cacao ของแต่ละจังหวัดเอง ไม่ว่าจะจากเชียงใหม่ เชียงราย ระยอง ราชบุรี พัทลุง นครศรีธรรมราช เพชรบูรณ์ ฯ ก็ไม่เหมือนกันเลยนะ อย่าง Cacao ของพัทลุงนี่แปลกมา เวลาต้ม เรารู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ตรงสะพานปลา รสชาติของเขาจะติดเค็มนิดๆ เอามาต้มกินแบบร้อนจะกินยาก แต่พอเติมน้ำแข็งใส่เข้าไป เอ้า รสชาติมันเหมือนจินโทนิคไปเสียอย่างนั้น เพราะความเค็มมันถูกทำให้เบาบางลงด้วยน้ำแข็ง หรืออย่าง Cacao ของนครศรีธรรมราช อันนี้ก็แปลก รสชาติมันจะติดความเป็นเครื่องเทศนิด ๆ”
ความสนุกของเท้มกับการได้ศึกษาและลองผิดลองถูกในเรื่องของ Cacao อาจเทียบเคียงได้กับนักบุญที่อยากเผยแพร่ศาสนา แต่กรณีของเท้ม มาในรูปแบบของศาสนาโกโก้ จากนักดนตรีที่มีความเนิร์ดในตัวเอง
ต้องยอมรับว่าตัวฉันเองไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ในประเทศไทยจะมีแหล่งปลูก Cacao อยู่มากมายขาดนี้
เพิ่งรู้นะนี่ ว่าราชบุรีก็ปลูก Cacao ด้วย!
นอกจากลูกค้าของ Kokomary จะเป็นลูกค้าทั่วไป และลูกค้าที่อินกับ Cacao สุด ๆ แล้ว ยังมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นเจ้าของร้านกาแฟ ร้านอาหาร และกลุ่มเชฟ
เท้มว่าเวลาพวกเชฟมาที่ร้านนี่จะสนุกที่สุด เพราะคนกลุ่มนี้ใช้ชีวิตอยู่กับเรื่องของวัตถุดิบเยอะ จินตนาการสูงส่ง ทำให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนความรู้ อันเกิดจากโสตสัมผัสที่แตกต่าง
“อาชีพเชฟจะรู้จักวัตถุดิบในการทำอาหารเยอะ เวลามาชิม Cacao แต่ละตัวใน Cacao Course เขาจะเปรียบเทียบกับสิ่งที่เรานึกไม่ถึง เช่น Cacao บางตัว กินแล้ว เขาจะเปรียบกับรสชาติว่ามันเหมือนเห็ดบางชนิด ขณะที่ Cacao บางตัว เขาจะอธิบายว่ามันมีรสชาติคล้ายกับซีอิ๊วตัวนั้นตัวนี้ ฟังแล้วก็แปลกดี เปิดโลกผมมากเลย”
เอาล่ะ ใครอยากออกเดินทางไปกับมิติต่าง ๆ ของ Cacao ในแบบเท้ม ติดต่อไปที่ร้านเลยนะคะ สำหรับ Cacao Course มีค่าใช้จ่ายประมาณห้าร้อยกว่าบาทต่อท่าน รับเฉพาะลูกค้าที่โทรจองล่วงหน้าเท่านั้น ด้วยขนาดร้านค่อนข้างเล็ก จึงสามารถรับลูกค้าได้ไม่เกิน 3 ท่าน ต่อคอร์ส ใช้เวลาในการนั่งชิมนั่งดื่ม ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง
เราชอบ Cacao จากจังหวัดเพชรบูรณ์ที่สุด มันมีความเข้มข้น เนื้อสัมผัสแน่น รู้สึกถึงความอบอุ่นและปลอดภัย อย่างบอกไม่ถูก
