โดยปกติกาแฟ 1 แก้ว จะให้ปริมาณคาเฟอีนตั้งแต่ 80 มิลลิกรัม ไปจนถึง 100 มิลลิกรัม ซึ่งใน 1 วันไม่ควรได้รับเกิน 200 มิลลิกรัม คือไม่เกิน 3 แก้วต่อวัน เพราะดื่มมากเกินไป จากความผ่อนคลายจะกลายเป็นความเครียดทันที คุณจะรู้สึกปวดหัว กระวนกระวาย ใจสั่น นอนไม่หลับ และหากได้รับเกินกว่า 1,000 มิลลิกรัม จัดว่าเป็นพิษต่อร่างกายรุนแรง
คาเฟอีน ไม่ใช่สารเดียวที่พบในเมล็ดกาแฟ แต่ยังมีวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ดื่ม อย่างวิตามินอี และวิตามินบี 3 ที่มีส่วนช่วยชะลอวัย (ต่อต้านอนุมูลอิสระ) เสริมความจำดี และลดไขมันในเลือด ซึ่งในกาแฟสดที่ได้จากเมล็ดกาแฟคั่วจะให้สารต่าง ๆ ได้มากกว่าการดื่มกาแฟสำเร็จรูป
หากคุณคิดจะเริ่มซื้อกาแฟมาชงดื่มเองที่บ้านเพื่อให้ได้กลิ่นหอมและรสชาติกลมกล่อมในแบบที่เคยดื่มในร้าน อาจต้องใช้เวลาศึกษาข้อมูลมากมาย กว่าจะได้กาแฟที่ถูกใจ ด้วยเหตุนี้ ALTV จึงมีคำแนะนำดี ๆ วิธีเลือกกาแฟที่ใช่จากการอ่านฉลากบนถุงกาแฟ
หัวใจสำคัญของการเลือกกาแฟให้ถูกใจนั้น ไม่ได้อยู่ที่แพ็กเกจจิงสวย ๆ ที่วางขายตามร้านค้า แต่เป็นรูปแบบของ “เมล็ดกาแฟ” ที่ให้กลิ่นหอมและรสสัมผัสในแบบที่คุณพอใจ ซึ่งกาแฟถุงนั้นจะบ่งบอกถึงแหล่งผลิต และกรรมวิธีที่ได้คุณภาพและน่าเชื่อถือ คุณอาจเคยสงสัยว่า ทำไมกาแฟบางยี่ห้อถึงมีรสชาติเปรี้ยว ขม ฝาด นั่นเป็นเพราะสายพันธุ์ ระดับการคั่วและการเบลนด์ (Blend) ที่แตกต่างกัน จึงทำให้กาแฟมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่เหมือนกัน ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อเมล็ดกาแฟสักถุงจึงต้องทำความเข้าใจข้อความบนฉลาก เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้กาแฟในรสชาติที่คุณถูกใจกลับบ้าน
หลายคนอาจเคย "ยืนงงอยู่ในดงกาแฟ" เพราะมีให้เลือกเยอะจนเลือกไม่ถูกว่ากาแฟแบบไหนดี ? ซึ่งมีทั้งกาแฟคั่วทั้งเมล็ด กาแฟคั่วบด และกาแฟสำเร็จรูป อีกทั้งยังมีข้อมูลมากมายบนฉลาก ที่แม้แต่คอกาแฟบางคนก็เลือกไม่ถูก มาดูกันว่าข้อความฉลากบนกาแฟ 1 ถุงจะช่วยกำหนดทิศทางการเลือกซื้อกาแฟให้ถูกใจอย่างไรบ้าง
☕กาแฟยี่ห้ออะไร? (Brand)
เมล็ดกาแฟยี่ห้อไหนก็เหมือน ๆ กัน! อาจไม่ใช่เสมอไป เพราะยี่ห้อหรือตราสินค้าจะเชื่อมโยงกับความไว้วางใจและความรู้สึกของผู้ดื่มได้ดี บนฉลากจะระบุชื่อแบรนด์ไว้อย่างชัดเจน บางครั้งเป็นชื่อบริษัทโรงคั่ว หรือชื่อบริษัทที่จำหน่ายกาแฟ
☕สายพันธุ์กาแฟ (Coffee Varieties)
ข้อความที่อยู่บนถุงกาแฟมักระบุสายพันธ์ุกาแฟเอาไว้อย่างชัดเจน หลายคนอาจสงสัยว่าเมล็ดกาแฟแต่ละสายพันธุ์มีความพิเศษแตกต่างกันอย่างไรบ้าง โดยทั่วไปกาแฟที่คนรู้จักมี 4 สายพันธุ์ คือ
☕ที่มาของกาแฟ
ซิงเกิล ออริจิน หรือ เบลนด์ (Single Origin/ Blend)
การรู้ต้นกำเนิดของเมล็ดกาแฟ เพราะที่มาของกาแฟแต่ละประเทศและภูมิภาค พันธุ์กาแฟ วิธีแปรรูป ล้วนมีผลต่อรสชาติและความหอมของกาแฟ ซึ่งจะระบุไว้ 2 ที่มา
☕“กาแฟทั้งเมล็ด” หรือ “กาแฟคั่วบด” ?
(Whole Bean Cofee/ Ground Cofee)
การคลำดูที่ถุงกาแฟก็สามารถบอกได้แล้วว่ากาแฟถุงนั้นเป็นแบบทั้งเมล็ดหรือกาแฟคั่วบด หากต้องการสังเกตบนฉลากกาแฟจะระบุว่า Whole Bean Coffee คือ กาแฟทั้งเมล็ด และ Ground Cofee คือกาแฟคั่วบด ซึ่งแต่ละแบบจะใช้อุปกรณ์การทำกาแฟแตกต่างกัน
☕ขนาดของถุงกาแฟ (Size Bag)
กาแฟคั่วที่วางขายมีให้เลือกหลายขนาด ตั้งแต่ 250 กรัม, 500 กรัม, 1 กิโลกรัมไปจนถึง 5 กิโลกรัม ก่อนเลือกซื้อเมล็ดกาแฟต้องคำนึงถึงการเปิดใช้งาน เพราะทุกครั้งที่คุณเปิดถุงกาแฟ อากาศจะเข้าไปอยู่ในถุงทำให้เมล็ดกาแฟสูญเสียความสด ดังนั้นไม่แนะนำให้เปิด-ปิดถุงบ่อย ๆ ควรเลือกซื้อตามขนาดที่เหมาะสมกับนิสัยการดื่มกาแฟของแต่ละคน
☕วันที่คั่ว (Roast Date)
วันที่คั่วเมล็ดกาแฟจะดีที่สุด ต้องไม่เกิน 2 - 4 สัปดาห์หลังจากการคั่ว เพราะเมล็ดกาแฟจะยังคงเก็บความหอมไว้อยู่ก่อนจะค่อย ๆ จางหายไป ดังนั้นโปรดสังเกต "Roast Date คือวันที่คั่วกาแฟ" ไม่ควรเกิน 1-2 เดือน หากซื้อมาแบบคั่วใหม่ ๆ ควรทิ้งเมล็ดไว้ 2 - 10 วันหลังคั่ว เพื่อให้เมล็ดกาแฟได้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดระหว่างการคั่วออกก่อน จึงจะได้รสชาติที่กลมกล่อมมากขึ้น
☕ระดับการคั่ว (Roast Level)
ทุกยี่ห้อจะระบุระดับการคั่วไว้อย่างชัดเจน สามารถบอกแนวรสชาติของกาแฟได้ เวลาเลือกก็อิงจากความชอบส่วนตัวและวิธีการชง เมล็ดกาแฟมีระดับการคั่ว 4 ประเภท ได้แก่ คั่วอ่อน คั่วกลาง คั่วเข้มปานกลาง และคั่วเข้ม ซึ่งจะมีสีและรสชาติเฉพาะแตกต่างกันตามระยะเวลาที่คั่ว
กาแฟคั่วอ่อน Light Roast
กาแฟคั่วกลาง Medium Roast
กาแฟคั่วเข้มปานกลาง Medium-Dark Roast
กาแฟคั่วเข้ม Dark Roast
☕กลิ่นและรสชาติ (Taste Notes)
Taste Notes หรือ Flavor Notes คือกลิ่นหรือรสของกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) ที่ระบุอยู่บนถุง อธิบายโทนกลิ่นและรสชาติของกาแฟ ซึ่งนักชิมหรือนักคั่วกาแฟต้องการส่งผ่านไปยังผู้ดื่ม Taste Note มีกว่าร้อยรสชาติ แต่สำหรับผู้เริ่มต้นดื่มกาแฟสามารถเรียนรู้ง่าย ๆ จาก 8 กลิ่นรสสัมผัสหลัก ๆ ด้วยกัน
กาแฟกลิ่นดอกไม้เป็นกลิ่นที่หอมฟุ้งเบา ๆ ให้ความรู้สึกสดชื่น โดยเฉพาะกาแฟที่มาจาก Ethiopia หรือ Kenya
มักระบุคำว่า Jasmine, Lavender, Coffee Blossom
ด้วยเหตุผลที่ “เมล็ดกาแฟ” คือผลไม้จำพวกเชอร์รี่ (หรือเบอร์รี่) จึงมีรสเปรี้ยวหวาน ซึ่งทำให้กาแฟสามารถมีกลิ่นรสคล้ายกับผลไม้ได้หลากหลาย ตั้งแต่ ส้ม มะนาว เชอร์รี่ ไปจนถึงมะพร้าว
มักระบุคำว่า Blueberry, Blackberry, Orange, Peach, Mango
หากใครได้ชิมกาแฟพิเศษกลิ่นนี้แล้วคงต้องรู้สึกว้าวและประหลาดใจ รสชาติของเหล้าได้ที่เกิดจากกรรมวิธีพิเศษ ที่จะทำให้กาแฟมีกลิ่นรสคล้ายกับวิสกี้ รัม หรือไวน์ เช่น กาแฟไอริช แกรนด์เฟรนช์คอฟฟี่ และคาราจิลโล
มักระบุคำว่า Winey, Rum, Whiskey
กลิ่นของกาแฟที่พบได้บ่อยเป็นกลิ่นหรือรสชาติคล้ายถั่ว เช่น ถั่วลิสง ฮาเซลนัต หรือวอลนัต บางครั้งออกไปโทนโกโก้ หรือดาร์กช็อกโกแลต
มักระบุคำว่า Hazelnut, Walnut, Peanut, Chocolate, Dark Chocolate
กลิ่นรสของกาแฟที่คล้ายสมุนไพรเป็นกลิ่นที่ค่อนข้างหายาก ให้ความรู้สึกเหมือนใบไม้สด ไม้สน หรือกลิ่นดิน ซึ่งบางคนชอบกลิ่นแนวนี้ เช่นกาแฟที่ปลูกบนเกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย
มักระบุคำว่า Herb, Pine wood, Mint
กลิ่นหอมไหม้ เป็นกลิ่นที่เกิดจากการคั่วจากความร้อนโดยตรง เมื่อคั่วเมล็ดกาแฟมาจนถึงระดับหนึ่ง กลิ่น Note ต่าง ๆ ของกาแฟก็จะถูกลบออกหมดเหลือไว้เพียงกลิ่นคั่ว หรือกลิ่นหอมไหม้ หลายคนชื่นชอบกลิ่นจากกาแฟคั่วเข้มที่ให้กลิ่นหอมไหม้เฉพาะ
มักระบุคำว่า Smoky, Roast
กาแฟหวานมีอยู่จริง คือกาแฟที่มีกลิ่นหวาน ๆ แบบไอศครีมวนิลา หรือน้ำผึ้ง หรือหวานสัมผัสจากลิ้นมีความคล้ายคาราเมล
มักระบุคำว่า Brown Sugar, Vanilla, Caramel
กาแฟกลิ่นเครื่องเทศเป็นกลิ่นที่ค่อนข้างฉุน หลายคนมองว่าเป็นกลิ่นอโรมาช่วยให้ผ่อนคลาย เช่นกลิ่น กานพลู โป๊ยกั้ก อบเชย โหระพา ยูคาลิปตัส พริกไทย และได้รสเผ็ดสัมผัส
มักระบุคำว่า Cinnamon, Nutmeg, Star Anise, Pepper, Cineolic, Camphoric, Piney
ข้อมูลบนถุงกาแฟอาจจะไม่ได้ระบุไว้ทั้งหมด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบ และประสบการณ์ของการดื่มกาแฟของแต่ละคนด้วย แต่ก็จะไม่หนีไปจากที่แนะนำไว้มากนัก
"กาแฟที่ไม่มีฉลาก" บางครั้งมีเพียงสติกเกอร์บอกยี่ห้อสวย ๆ แปะบนถุงกาแฟเท่านั้น ซึ่งก็มีวิธีเลือกซื้อเพื่อให้ได้กาแฟที่ถูกใจ อย่างแรกที่ต้องรู้ข้อมูล คือ วันเดือนปีที่ผลิต เพราะจะบ่งบอกถึงความสดใหม่ของกาแฟ ต่อมาคือสายพันธุ์กาแฟ เพื่อบอกความเข้มข้นของกาแฟที่เราต้องการ และสุดท้ายที่ต้องคำนึงคือระดับการคั่วที่จะช่วยให้เราสามารถคาดเดาความเข้มข้น กลิ่น และรสสัมผัสของกาแฟได้เบื้องต้น
☕3 เคล็ดลับง่าย ๆ ซื้อกาแฟอย่างไรให้โดนใจ
เคล็บลับการเก็บกาแฟให้สด ใหม่ เสมอ
โดยปกติ “เมล็ดกาแฟ” หลังจากการคั่ว หากเก็บไว้อย่างเหมาะสมจะอยู่ได้ประมาณ 1 เดือน ส่วนกาแฟคั่วบดจะมีอายุ 1-2 สัปดาห์ เหตุผลที่ระยะเวลาต่างกันก็เพราะว่ากาแฟบดมีโอกาสเสื่อมสภาพได้ง่ายกว่ากาแฟทั้งเมล็ด เมื่อโดนอากาศ ความชื้น แสง และความร้อน ดังนั้นหลังจากเปิดใช้
สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเลือกกาแฟแบบไหน
"กาแฟที่ดีที่สุด คือ กาแฟที่ถูกปากเรา"☕
ศาสตร์แห่งกาแฟยังมีให้เรียนรู้อีกมากมาย โดยเฉพาะศาสตร์การคั่วกาแฟกับบทบาทสำคัญของ Coffee Roaster หรือคนคั่วกาแฟ ที่คอกาแฟไม่ควรพลาดในรายการ โรงเรียนนานาช่าง ทาง ALTV
ขอบคุณข้อมูล: coffeecrossroads.com, perfectdailygrind.com, javapresse.com