เพราะโควิดนี่แหละ ที่ทำให้ใช้ชีวิตอยู่บ้านและพบปะผู้คนน้อยลงมาก ทางเดียวที่จะได้ปฎิสัมพันธ์กับผู้อื่นบ้าง คือการใช้เทคโนโลยีโซเชียลมีเดีย จากที่เคยโหยหาการออกไปเอาสังคม อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ผ่านไปเป็นปี ๆ ไอ้ความอยากทั้งหลายก็ค่อย ๆ ลดลงไป แล้วก็เพิ่งเข้าใจว่า การอยู่เงียบ ๆ คนเดียวนั้น ช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน และเป็นพลังงานพิเศษที่เยียวยาหัวใจได้อย่างลึกซึ้ง
มันเป็นยังไง ไหนเล่าซิ!
เคยเป็นไหม เวลาอ่านอะไรแล้ว เราจะได้ยินเสียงดังอยู่ในหัว โดยเฉพาะคนที่เรารู้จักน้ำเสียง แทบจะเหมือนคน ๆ นั้นมายืนพูดอยู่ตรงหน้า โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เราพูดคุยกันผ่านตัวหนังสือ แสดงความคิดเห็นแบบที่เหมือนจะเทพรวดลงมา แสดงความรู้สึกด้วยเครื่องหมายอิโมติคอน และหัวเราะด้วยตัวเลข 555 หากเป็นในสถานการณ์ปกติที่ไม่มีเรื่องตะขิดตะขวงใจกัน การพูดคุยเช่นนี้ก็ไม่ค่อยมีปัญหา แต่พราะโซเชียลมีเดียก็ขยันคะยั้นคะยอให้เราแสดงความคิดเหลือเกิน ด้วยการถามอยู่นั่นแหละว่า คุณคิดอะไรอยู่ บางครั้งก็ทำให้เราแสดงความคิดเห็นบางอย่างลงไป แต่กลับโดนผู้คนมากมายตัดสิน ทั้งที่ตัวหนังสือเพียงไม่กี่ตัวนั้น ไม่ได้บ่งบอกเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นจริง ๆ ความพลาดพลั้งทางการสื่อสารจึงเกิดขึ้น ในโลกยุคใหม่ที่ท้าทายให้เราแสดงความคิดเห็นตลอดเวลา และพร้อมจะมีชาวโซเชียลใส่ชุดผู้พิพากษาแต่ไม่เคยใช้ถ้อยคำตามกฎหมาย ฟาดฟันเราไม่ยั้ง หากแต่เราไม่ใช่ผู้ถูกกระทำแล้ว เราย่อมไม่เคยเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับหัวใจของผู้คนเหล่านั้นได้เลย
ในสถานที่ที่เงียบที่สุด เรายังได้ยินเสียงความคิดตัวเอง
โดยเฉพาะเวลาที่หัวใจบอบช้ำมาหนักหนา อดไม่ได้ที่จะคิดถึงคำพูดของผู้คน เสียงพูดที่ผ่านการอ่านด้วยสายตา น้ำเสียงที่ผ่านจินตนาการของเรา และแน่นอนมันเจ็บช้ำชนิดที่ว่า โลกแทบจะมืดดับไปกับตา เป็นที่มาของปัญหาสุขภาพจิตมากมาย ที่คนในยุคเราต้องแบกรับมันไว้
ความเงียบในโลกยุคโซเชียลมีเดียเช่นนี้ จึงไม่ใช่แค่การปิดเสียง แต่มันคือการปิดตา ปิดหู ปิดปาก และมัดมือ เพราะหลายอย่างที่เราเสพผ่านสายตา โดยไม่รู้ที่มาที่ไปอย่างชัดเจน มันทำให้ต่อมอารมณ์พลุ่งพล่านจนน่ากลัว บางความเงียบจึงหมายถึงการไม่แสดงออกในทันทีทันใด ค่อย ๆ ใช้สติปัญญาพิจารณาไต่ตรองมัน และหากเราฝึกบ่อย ๆ เข้า เราจะใช้ความเงียบได้อย่างแยบยล แนบเนียน และทรงพลัง
ซูซาน เคน (Susan Cain) ผู้เขียนหนังสือ Quiet กล่าวไว้ว่า ความเงียบคือเสียงที่ทรงพลัง เราจะได้ใช้ความคิดและปลดปล่อยไอเดียสร้างสรรค์ให้โลดแล่นได้ คนที่ชอบความเงียบ เป็นคนที่มีแนวโน้มเป็นผู้ที่ชอบครุ่นคิด ถ่อมตน อ่อนไหว จริงจัง พินิจพิเคราะห์ และมีความเข้าใจในความรู้สึกและตัวตนของตัวเองได้อย่างแท้จริง
นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์พลังของความเงียบแล้วค้นพบว่า เมื่อเราอยู่ในความเงียบสัก 2 ชั่วโมง เซลล์สมองส่วน HIPPOCAMPUS ซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่จดจำ จะมีการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด
ความเงียบมีภาษาในตัวของมันเองอย่างน่าอัศจรรย์
บางคนเก่งในการสร้างความเงียบ ด้วยถ้อยคำที่ไม่คู่ควร ผิดเวลาและกาลเทศะ หลังจากการแสดงออกของเขา อาจทำให้โลกดับไปทั้งใบ จนได้ยินเสียงหัวใจและเสียงแอร์
บางคนมีวิธีการทำลายความเงียบ ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ด้วยบทสนธนาที่แสนจะสร้างสรรค์ บนความกระอักกระอ่วนและบรรยากาศที่แสนอึมครึม น้ำเสียงและการแสดงออกของเขา ทำให้โลกกลับสว่างและสร้างพลังงานบวกได้งดงาม
บางคนใช้ความเงียบได้เสียงดังกว่าการตะโกน เมื่อเขาเงียบทุกอย่างที่เคลื่อนไหว ก็คล้ายกับจะหยุดลงในช่วงเวลานั้น และทำให้เราพบว่า ความเงียบนั้นได้ส่งข้อความที่มีพลังยิ่งกว่าสิ่งใด
ความเงียบ จึงเลือกนำมาใช้ได้ทั้งในการจู่โจม ประนีประนอม ยอมรับ ปฏิเสธ ออกคำสั่ง หรือแม้แต่แสดงความรู้สึกได้มากมายกว่าที่เราคิด
เมื่อทุกอย่างเงียบลง เราจะได้ยินเสียงของสติปัญญาดังขึ้น
หากเราเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเงียบ เราจะใช้มันเป็นทั้งในเวลาของการเข้าสังคมและการใช้ชีวิตส่วนตัว มันช่วยให้เราสงบสติอารมณ์ และได้รู้จักเชื่อมต่อกับตัวเอง เพิ่มความสุขให้กับชีวิตและจิตวิญญาณอย่างที่ไม่เคยคิดว่า มันเรียบง่ายอะไรแบบนี้
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ หากเราเงียบในเรื่องที่ควรส่งเสียง เงียบในสิ่งที่ควรปกป้อง หรือเงียบในสิ่งที่ชี้ชะตาของผู้อื่น เพราะไม่ใช่ทุกครั้งที่ความเงียบจะให้ผลเป็นไปอย่างที่เราคิด มันอาจเป็นดาบสองคมที่ทำให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โต เป็นผลให้เกิดความเข้าใจผิด เราจึงควรฝึกฝนที่จะอยู่กับความเงียบในช่วงเวลาต่าง ๆ ทั้งรื่นรมย์ เรื่อยๆ หรือเลวร้าย เงียบเพื่อให้ได้ยินชัดขึ้น เงียบเพื่อไตร่ตรองพิจารณา และเลือกที่จะหาวิธีการเพื่อแสดงออกในเวลาที่เหมาะสม
การนั่งโง่ ๆ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสติปัญญา
ความเงียบจึงไม่ใช่เป็นเรื่องของเสียง แต่ยังรวมถึงการไม่โต้ตอบ การให้เวลากับสถานการณ์บางอย่าง เพื่อดึงเรากลับสู่สติ ในช่วงเวลาปกติ หรือแม้แต่เมื่อเราพบเจอปัญหา เราอาจใช้เวลาวันละ 30 นาที เพียงเพื่อจะอยู่กับตัวเอง นั่งโง่ ๆ เงียบ ๆ ไม่ต้องตั้งคำถาม ไม่ต้องตัดสิน แล้วลองปล่อยให้เรื่องราวหลั่งไหลผ่านการรับรู้ของเราไปอย่างช้า ๆ เราอาจได้ยินเสียงที่เราไม่เคยได้ยิน เราอาจได้เห็นบางอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าในช่วงเวลานั้นแบบที่เราไม่ทันสังเกต เราอาจได้รู้สึกถึงการหายใจเข้าออกของตัวเอง อย่างช้า ๆ ลึก ๆ เพื่อค้นพบว่าเรายังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าเรื่องร้ายแรงแค่ไหน หากเรานิ่งเงียบได้มากพอ มันจะไม่ทันเห็นแล้วปลดปล่อยเราเป็นอิสระ
คำพูดเป็นนายเรา แต่ความเงียบเป็นเพื่อนที่ไม่เคยทรยศ และในบางครั้งก็เป็นอาวุธอันทรงพลังในการสร้างสันติสุข
บทความและภาพประกอบโดย : ณภัค ภูมิชีวิน