ALTV All Around
ALTV News
บทความอื่นจาก Thai PBS
ALTV All Around
ALTV News
บทความ Thai PBS
ความสำคัญของ "ลิ้น" ที่มากกว่าแค่ลิ้มรส
แชร์
ฟัง
ชอบ
ความสำคัญของ "ลิ้น" ที่มากกว่าแค่ลิ้มรส
27 มิ.ย. 65 • 19.00 น. | 2,302 Views
ขนาดอักษร : กลาง
ALTV CI

ลิ้น ทำหน้าที่รับรสอาหาร ช่วยป้องกันร่างกายจากสิ่งที่ไม่ปลอดภัยหรืออาหารที่ไม่ต้องการ เช่น อาหารบูดเสีย อาหารรสชาติแย่ แต่ใครจะรู้ว่านอกจากเรื่องกิน ลิ้นของมนุษย์ยังมีความสำคัญในเรื่องการสื่อสาร ภาษา และปัญหาสุขภาพ มาดูกันว่าลิ้นของคนเราสามารถทำอะไรที่น่าทึ่งได้บ้าง

“ลิ้น” รับรสได้ด้วยตุ่มเล็ก ๆ นับพัน

หากลองสังเกตเราจะเห็นปุ่มเล็ก ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วลิ้น นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า พาพิลา (Papilla) ประกอบด้วย “ตุ่มรับรส” (taste bud) ประมาณ 2,000 ถึง 10,000 ตุ่ม ทำหน้าที่รับรสและส่งสัญญาณไปยังสมองเพื่อแปลผลว่าเป็นรสชาติอะไร เซลล์มากมายจะไวต่อสารเคมีที่ทำให้เกิดรสชาติหลัก ๆ ได้แก่ เปรี้ยว เค็ม หวาน ขม และอุมามิ

  • รสเค็ม เกิดจาก เกลือแกง หรือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ที่เติมลงในอาหาร นอกจากนี้ยังเกิดจากเกลือแร่ได้ด้วย
  • รสเปรี้ยว เกิดจาก สารที่มีความเป็นกรด เช่น น้ำส้มสายชู น้ำมะนาว โยเกิร์ต
  • รสหวาน เกิดจาก น้ำตาล เช่น ซูโครส แลกโทส ฟรุกโทส แอลกอฮอล์บางชนิด และสารให้ความหวาน
  • รสขม เกิดจาก โมเลกุลต่างๆ ที่มักพบในพืช เช่น กาแฟ ไวน์ ดาร์กช็อกโกแลต
  • รสอูมามิ เกิดจากกรดกลูตาเมตอิสระที่เป็นตัวกำหนดความอร่อยกลมกล่อม พบได้ทั้งในผัก น้ำซุปและเครื่องปรุงรสหลายชนิด เช่น เห็ดหอมแห้ง มะเขือเทศสุก น้ำซุปจากสาหร่ายคอมบุ น้ำต้มกระดูกหมู ผงชูรส ซอสถั่วเหลือง 
เกร็ดน่ารู้ : รสอูมามิ หรือรสนัวที่ได้จากผงชูรส เกิดจากการที่ตุ่มรับรสถูกกระตุ้นให้ขยายตัวเพื่อให้รับรสชาติต่าง ๆ ได้ไวกว่าปกติ ช่วยให้รสชาติติดปากนานขึ้น ทำให้เรารู้สึกถึงรสชาติของอาหารที่กลมกล่อม

ส่วน “ความเผ็ด” ไม่ใช่รสชาติเหมือนกับเค็ม หวาน เปรี้ยว แท้จริงแล้วเป็นเพียง “อาการแสบร้อนของลิ้น” ที่เกิดจากสารแคปไซซิน (Capsaicin) ที่อยู่ในพริก

“แผนที่รับรสของลิ้น” (Tongue map) ที่ทุกคนเคยร่ำเรียนกันมา คือผลงานการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน David P. Hänig เชื่อว่า แต่ละส่วนของลิ้นจะมีแถบรับรสชาติพื้นฐาน เช่น โคนลิ้นรับรสขม, ข้างลิ้นถัดจากโคนรับรสเปรี้ยว, ข้างลิ้นเหนือปลายลิ้นรับรสเค็ม และปลายลิ้นรับรสหวาน

ภายหลังมีงานวิจัยนับไม่ถ้วนได้ทำการทดลองเพื่ออธิบายว่า มีตุ่มรับรสมากมายทั่วทั้งปาก ตั้งแต่เพดานอ่อนไปจนถึงลิ้น และลำคอ ซึ่งไวต่อความเข้มข้นของรสชาติ นอกจากนี้โปรตีนต่าง ๆ ยังมีส่วนช่วยในการดักจับรสชาติอีกด้วย จึงสรุปได้ว่า “การรับรู้รสชาติของแต่ละคนไม่ได้จำกัดอยู่เพียงจุดใดจุดหนึ่งของลิ้น” อย่างไรก็ตาม งานวิจัยของ Hänig ยังมีส่วนที่จริงอยู่บ้าง โดยตุ่มรับรสที่อยู่ “ส่วนปลายและขอบของลิ้น” จะไวต่อรสชาติมากกว่าบริเวณอื่น

หน้าที่ของลิ้นไม่ได้แค่ช่วยในเรื่องกิน แต่ยังช่วยในเรื่องการพูดและการออกเสียง

การม้วนลิ้น กระดกลิ้น รัวลิ้น กำเนิดเป็นภาษาและเสียงเพลง

นอกจากเรื่องลองลิ้มชิมรสแล้ว “ลิ้น” ยังเป็นหนึ่งในอวัยวะสำคัญของ “การออกเสียงพยัญชนะและสระ” ในหลายภาษา เช่น การออกเสียง R ในภาษาอังกฤษหรือตัว ร ในภาษาไทย ซึ่งเป็นแนวคิดของวิชาสัทศาสตร์ (phonetics) ที่ว่าด้วยเรื่องอวัยวะที่ใช้ในการออกเสียง การเปล่งเสียงพูด และตำแหน่งของการเกิดเสียง (place of articulation) เสียงในภาษาที่เปล่งออกมาแตกต่างกัน บางส่วนเกิดจากการขยับลิ้นไปที่ใดที่หนึ่ง เช่น

  • เสียงม้วนลิ้น (retroflex) เช่น การออกเสียงแบบพินอินในภาษาจีน หรือการออกเสียง R ภาษาอังกฤษ
  • เสียงกระดกลิ้น (Tap) เกิดจากการยกปลายลิ้นแตะบริเวณปุ่มเหงือกเพียงครั้งเดียว ที่ใช้บ่อย ๆในภาษาอังกฤษ เช่น การออกเสียงคำว่า three 
  • เสียงรัวลิ้น (Trills) คนไทยดูจะคุ้นเคยที่สุด ก็คือเสียงของพยัญชนะ ร เรือ
  • เสียงเดาะลิ้น (Click) หากใครเคยดูหนังเรื่อง “เทวดาท่าจะบ๊อง” ก็คงเคยได้ยินภาษาพูดของ “นิเชา” มาบ้าง ซึ่งภาษาเดาะลิ้นอันโด่งดังเป็นภาษาของกลุ่มชนพื้นเมืองในแถบแอฟริกาใต้ อย่างเผ่ากอยกอย (Khoikhoi) และเผ่าซานหรือบุชเมน(San,Bushmen)

บางครั้งการเปล่งเสียงด้วยลิ้นเป็นจังหวะก็สามารถกลายเป็นทำนองที่ไพเราะเฉพาะตัวได้เช่นกัน อย่างเช่นการเดาะลิ้นของ Miriam Makeba นักร้องหญิงชาวแอฟริกันคนนี้

 

หรือการรัวลิ้นของ Vitas นักร้องระดับดีโวชาวรัสเซีย ที่การร้องเพลงรัวลิ้นของเขากลับโด่งดังในโลกโซเชียล

 

เกร็ดน่ารู้: เจ้าของสถิติ "ลิ้นที่ยาวที่สุดในโลก" คือ K. Praveen หนุ่มอินเดียวัย 20 กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดระบุว่าลิ้นของเขามีความยาวถึง 10.8 ซม. (4.25 นิ้ว) การใช้ลิ้นแตะจมูกและข้อศอกได้อาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา แต่ที่น่าทึ่งไปกว่านั้น ก็คือการใช้ลิ้นเอื้อมแตะถึงขอบตา รวมไปถึงใช้ลิ้นวาดรูปและเขียนหนังสือได้ด้วย

 

ลิ้นสร้างเพื่อน

การทักทายกันในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน เช่น คนไทยจะยกมือไหว้และกล่าวสวัสดี หรือฝรั่งจะทักทายด้วยการจับมือ แต่ในบางวัฒนธรรม "การแลบลิ้น” ถูกใช้เพื่อแสดงมิตรไมตรี

ภาพจาก beingbetterhumans.com

การทักทายสไตล์ทิเบต หากมีใครมาแลบลิ้นใส่คุณ ขอให้ใจเย็น ๆ ไว้ เพราะนี่เป็นการทักทายที่แสดงความเคารพหรือการเห็นพ้องต้องกันในวัฒนธรรมทิเบตดั้งเดิม ตามนิทานพื้นบ้านทิเบตเล่าว่า ในศตวรรษที่ 9 กษัตริย์นามว่า Lang Darma มีความโหดร้ายและมีลิ้นสีดำ จึงไม่เป็นที่ชื่นชอบของประชาชน หลังจากกษัตริย์ผู้นั้นเสียชีวิต ผู้คนจึงแลบลิ้นออกเพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ใช่ Lang Darma ที่กลับชาติมาเกิด

ภาพจาก sinchi-foundation.com

การทักทายแบบชาวเมารีในประเทศนิวซีแลนด์ จะต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยวัฒนธรรมฮาก้า (Haka) มีท่าทางการเคลื่อนไหวอย่างกระฉับกระเฉง เช่น การปรบมือกับร่างกาย การกระทืบเท้า และการคำรามเป็นจังหวะ ผู้ชายเท่านั้นที่จะ “แลบลิ้น” พร้อมเหลือกตาเบิกกว้างเพื่อให้ดูน่าเกรงขาม การแสดงฮาก้าเป็นต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ หรือต้อนรับความสำเร็จ โอกาสดี ๆ หรือแสดงในงานศพที่ยิ่งใหญ่ โดยมีต้นกำเนิดมาจากการแสดงของนักรบก่อนการต่อสู้เพื่อข่มขวัญศัตรูในอดีต

สีของลิ้นบอกโรคได้

เวลาเราไปหาหมอจีน มี 2 จุดที่หมอจะขอตรวจ คือ ชีพจร และลิ้น การดูลิ้นเป็นการวินิจฉัยโรคที่สำคัญของศาสตร์การแพทย์แผนจีน มองว่า “ลิ้น” เปรียบเสมือนกระจกเงาสะท้อนถึงภาวะสมดุลและไม่สมดุลในร่างกาย เพราะเส้นลมปราณของอวัยวะภายในร่างกายล้วนเดินผ่านบริเวณลิ้นทั้งสิ้น โดย “สีและลักษณะของลิ้น” สะท้อนถึงอวัยวะภายในทั้งห้า ได้แก่ ปอด หัวใจ ม้าม ตับ ไต และฝ้าบนลิ้นสามารถบอกได้ว่าอวัยวะในช่องท้องของเรา เช่น กระเพาะอาหาร ลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ ถุงน้ำดี เป็นอย่างไรบ้าง

การดูสีลิ้นของศาสตร์การแพทย์แผนจีน โดยทั่วไปแบ่งเป็น 5 สี 

  • ลิ้นสีแดงอ่อน หรือสีชมพู พบในคนปกติ บ่งบอกสุขภาพดีหรือมีอาการป่วยเบา ๆ
  • ลิ้นสีขาวซีด ลมปราณและเลือดไม่ปกติ
  • ลิ้นสีแดง อาการขี้ร้อน คอแห้ง ท้องผูก มีไข้หรือฮอร์โมนไม่สมดุล
  • ลิ้นสีแดงเข้ม มีความร้อนอยู่ภายในกำเริบ โมโหง่าย นอนไม่หลับ
  • ลิ้นสีม่วง ลมปราณและเลือดไหลเวียนไม่คล่อง เกิดจากความเย็นหรือเลือดคลั่งภายใน มีอาการปวดหัว ปวดประจำเดือน เครียดง่าย หนาวง่าย เป็นต้น

ในขณะเดียวกันทางการแพทย์ทั่วไปใช้ การเปลี่ยนสีของลิ้น สามารถบอกโรคและสาเหตุของปัญหาสุขภาพทได้หลากหลาย

  • ลิ้นสีขาวซีด หรือฝ้าขาว เชื้อราในช่องปากหรือภาวะลิ้นเป็นฝ้า (Leukoplakia) ที่พบในผู้สูบบุหรี่จัดที่เป็นปัจจัยการเกิดมะเร็งช่องในปาก
  • ลิ้นสีเหลือง สุขอนามัยช่องปากที่ไม่ดีและปากแห้ง มีแบคทีเรียในช่องปาก ในระดับรุนแรงอาจเป็นสัญญาณของโรคเบาหวาน และภาวะตัวเหลืองหรือโรคดีซ่าน
  • ลิ้นสีส้ม - สุขอนามัยช่องปากไม่ดีหรือปากแห้ง บางครั้งมาจากการใช้ยาปฏิชีวนะและทานอาหารบางชนิดที่ทำให้ลิ้นเป็นสีส้ม เช่น อาหารที่มีเบตาแคโรทีนสูง
  • ลิ้นสีดำ ตามข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่าเคราตินที่สะสมอยู่ในร่างกายมากอาจทำให้ลิ้นกลายเป็นสีดำ รวมถึงยาปฏิชีวนะบางชนิด, การสูบบุหรี่ หรือรังสีบำบัด ในบางกรณีผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือ HIV ก็มีลิ้นสีดำเช่นกัน
  • ลิ้นสีฟ้าไปจนถึงสีน้ำเงิน - บ่งบอกถึงการขาดออกซิเจนในเลือดถึงระดับอันตราย

ลิ้น มีความสำคัญไม่ต่างจากอวัยวะอื่น ๆ หากเราไม่มีลิ้นก็ไม่สามารถพูดออกเสียงหรือร้องเพลงได้ชัดเจน การรักษาความสะอาดของลิ้นก็เป็นเรื่องสำคัญ ทุกครั้งที่แปรงฟันอย่าลืม "แปรงลิ้น" เพื่อไม่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคด้วยนะ

 

ขอบคุณแหล่งข้อมูล: huachiewtcm.com, ลิ้นบอกโรค แพทย์จีนโสรัจ นิโรธสมาบัติ , il.mahidol.ac.th, old-book.ru.ac.th

แท็กที่เกี่ยวข้อง
#ลิ้นรับรสได้อย่างไร, 
#อวัยวะสำหรับออกเสียง, 
#เสียงม้วนลิ้น, 
#เสียงกระดกลิ้น, 
#เสียงเดาะลิ้น, 
#DavidP.Hänig, 
#Tonguemap, 
#แผนที่รับรสของลิ้น, 
#เสียงรัวลิ้น, 
#MiriamMakeba, 
#Vitas, 
#K.Praveen, 
#ลิ้นที่ยาวที่สุดในโลก, 
#การแลบลิ้นทักทาย, 
#การทักทายสไตล์ทิเบต, 
#Haka, 
#ชาวเมารี, 
#ลิ้นเป็นฝ้า, 
#ลิ้นสีเหลือง, 
#ลิ้นบอกโรคแพทย์แผนจีน, 
#ลิ้นซีดเกิดจาก 
ผู้เขียนบทความ
avatar
H. ARIGATO
หงส์ฟ้า
ทาสแมวผู้ Enjoy กับชีวิตเรียบง่าย มีความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ
ALTV CI
Interest Thing
Interest Thing
ALTV All Around
ผู้เขียนบทความ
avatar
H. ARIGATO
หงส์ฟ้า
ทาสแมวผู้ Enjoy กับชีวิตเรียบง่าย มีความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ
แท็กที่เกี่ยวข้อง
#ลิ้นรับรสได้อย่างไร, 
#อวัยวะสำหรับออกเสียง, 
#เสียงม้วนลิ้น, 
#เสียงกระดกลิ้น, 
#เสียงเดาะลิ้น, 
#DavidP.Hänig, 
#Tonguemap, 
#แผนที่รับรสของลิ้น, 
#เสียงรัวลิ้น, 
#MiriamMakeba, 
#Vitas, 
#K.Praveen, 
#ลิ้นที่ยาวที่สุดในโลก, 
#การแลบลิ้นทักทาย, 
#การทักทายสไตล์ทิเบต, 
#Haka, 
#ชาวเมารี, 
#ลิ้นเป็นฝ้า, 
#ลิ้นสีเหลือง, 
#ลิ้นบอกโรคแพทย์แผนจีน, 
#ลิ้นซีดเกิดจาก 
แชร์
ฟัง
ชอบ
ติดตามเรา