หากลองสังเกตเราจะเห็นปุ่มเล็ก ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วลิ้น นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า พาพิลา (Papilla) ประกอบด้วย “ตุ่มรับรส” (taste bud) ประมาณ 2,000 ถึง 10,000 ตุ่ม ทำหน้าที่รับรสและส่งสัญญาณไปยังสมองเพื่อแปลผลว่าเป็นรสชาติอะไร เซลล์มากมายจะไวต่อสารเคมีที่ทำให้เกิดรสชาติหลัก ๆ ได้แก่ เปรี้ยว เค็ม หวาน ขม และอุมามิ
เกร็ดน่ารู้ : รสอูมามิ หรือรสนัวที่ได้จากผงชูรส เกิดจากการที่ตุ่มรับรสถูกกระตุ้นให้ขยายตัวเพื่อให้รับรสชาติต่าง ๆ ได้ไวกว่าปกติ ช่วยให้รสชาติติดปากนานขึ้น ทำให้เรารู้สึกถึงรสชาติของอาหารที่กลมกล่อม
ส่วน “ความเผ็ด” ไม่ใช่รสชาติเหมือนกับเค็ม หวาน เปรี้ยว แท้จริงแล้วเป็นเพียง “อาการแสบร้อนของลิ้น” ที่เกิดจากสารแคปไซซิน (Capsaicin) ที่อยู่ในพริก
“แผนที่รับรสของลิ้น” (Tongue map) ที่ทุกคนเคยร่ำเรียนกันมา คือผลงานการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน David P. Hänig เชื่อว่า แต่ละส่วนของลิ้นจะมีแถบรับรสชาติพื้นฐาน เช่น โคนลิ้นรับรสขม, ข้างลิ้นถัดจากโคนรับรสเปรี้ยว, ข้างลิ้นเหนือปลายลิ้นรับรสเค็ม และปลายลิ้นรับรสหวาน
ภายหลังมีงานวิจัยนับไม่ถ้วนได้ทำการทดลองเพื่ออธิบายว่า มีตุ่มรับรสมากมายทั่วทั้งปาก ตั้งแต่เพดานอ่อนไปจนถึงลิ้น และลำคอ ซึ่งไวต่อความเข้มข้นของรสชาติ นอกจากนี้โปรตีนต่าง ๆ ยังมีส่วนช่วยในการดักจับรสชาติอีกด้วย จึงสรุปได้ว่า “การรับรู้รสชาติของแต่ละคนไม่ได้จำกัดอยู่เพียงจุดใดจุดหนึ่งของลิ้น” อย่างไรก็ตาม งานวิจัยของ Hänig ยังมีส่วนที่จริงอยู่บ้าง โดยตุ่มรับรสที่อยู่ “ส่วนปลายและขอบของลิ้น” จะไวต่อรสชาติมากกว่าบริเวณอื่น
หน้าที่ของลิ้นไม่ได้แค่ช่วยในเรื่องกิน แต่ยังช่วยในเรื่องการพูดและการออกเสียง
นอกจากเรื่องลองลิ้มชิมรสแล้ว “ลิ้น” ยังเป็นหนึ่งในอวัยวะสำคัญของ “การออกเสียงพยัญชนะและสระ” ในหลายภาษา เช่น การออกเสียง R ในภาษาอังกฤษหรือตัว ร ในภาษาไทย ซึ่งเป็นแนวคิดของวิชาสัทศาสตร์ (phonetics) ที่ว่าด้วยเรื่องอวัยวะที่ใช้ในการออกเสียง การเปล่งเสียงพูด และตำแหน่งของการเกิดเสียง (place of articulation) เสียงในภาษาที่เปล่งออกมาแตกต่างกัน บางส่วนเกิดจากการขยับลิ้นไปที่ใดที่หนึ่ง เช่น
บางครั้งการเปล่งเสียงด้วยลิ้นเป็นจังหวะก็สามารถกลายเป็นทำนองที่ไพเราะเฉพาะตัวได้เช่นกัน อย่างเช่นการเดาะลิ้นของ Miriam Makeba นักร้องหญิงชาวแอฟริกันคนนี้
หรือการรัวลิ้นของ Vitas นักร้องระดับดีโวชาวรัสเซีย ที่การร้องเพลงรัวลิ้นของเขากลับโด่งดังในโลกโซเชียล
เกร็ดน่ารู้: เจ้าของสถิติ "ลิ้นที่ยาวที่สุดในโลก" คือ K. Praveen หนุ่มอินเดียวัย 20 กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดระบุว่าลิ้นของเขามีความยาวถึง 10.8 ซม. (4.25 นิ้ว) การใช้ลิ้นแตะจมูกและข้อศอกได้อาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา แต่ที่น่าทึ่งไปกว่านั้น ก็คือการใช้ลิ้นเอื้อมแตะถึงขอบตา รวมไปถึงใช้ลิ้นวาดรูปและเขียนหนังสือได้ด้วย
การทักทายกันในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน เช่น คนไทยจะยกมือไหว้และกล่าวสวัสดี หรือฝรั่งจะทักทายด้วยการจับมือ แต่ในบางวัฒนธรรม "การแลบลิ้น” ถูกใช้เพื่อแสดงมิตรไมตรี
ภาพจาก beingbetterhumans.com
การทักทายสไตล์ทิเบต หากมีใครมาแลบลิ้นใส่คุณ ขอให้ใจเย็น ๆ ไว้ เพราะนี่เป็นการทักทายที่แสดงความเคารพหรือการเห็นพ้องต้องกันในวัฒนธรรมทิเบตดั้งเดิม ตามนิทานพื้นบ้านทิเบตเล่าว่า ในศตวรรษที่ 9 กษัตริย์นามว่า Lang Darma มีความโหดร้ายและมีลิ้นสีดำ จึงไม่เป็นที่ชื่นชอบของประชาชน หลังจากกษัตริย์ผู้นั้นเสียชีวิต ผู้คนจึงแลบลิ้นออกเพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ใช่ Lang Darma ที่กลับชาติมาเกิด
ภาพจาก sinchi-foundation.com
การทักทายแบบชาวเมารีในประเทศนิวซีแลนด์ จะต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยวัฒนธรรมฮาก้า (Haka) มีท่าทางการเคลื่อนไหวอย่างกระฉับกระเฉง เช่น การปรบมือกับร่างกาย การกระทืบเท้า และการคำรามเป็นจังหวะ ผู้ชายเท่านั้นที่จะ “แลบลิ้น” พร้อมเหลือกตาเบิกกว้างเพื่อให้ดูน่าเกรงขาม การแสดงฮาก้าเป็นต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ หรือต้อนรับความสำเร็จ โอกาสดี ๆ หรือแสดงในงานศพที่ยิ่งใหญ่ โดยมีต้นกำเนิดมาจากการแสดงของนักรบก่อนการต่อสู้เพื่อข่มขวัญศัตรูในอดีต
เวลาเราไปหาหมอจีน มี 2 จุดที่หมอจะขอตรวจ คือ ชีพจร และลิ้น การดูลิ้นเป็นการวินิจฉัยโรคที่สำคัญของศาสตร์การแพทย์แผนจีน มองว่า “ลิ้น” เปรียบเสมือนกระจกเงาสะท้อนถึงภาวะสมดุลและไม่สมดุลในร่างกาย เพราะเส้นลมปราณของอวัยวะภายในร่างกายล้วนเดินผ่านบริเวณลิ้นทั้งสิ้น โดย “สีและลักษณะของลิ้น” สะท้อนถึงอวัยวะภายในทั้งห้า ได้แก่ ปอด หัวใจ ม้าม ตับ ไต และฝ้าบนลิ้นสามารถบอกได้ว่าอวัยวะในช่องท้องของเรา เช่น กระเพาะอาหาร ลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ ถุงน้ำดี เป็นอย่างไรบ้าง
การดูสีลิ้นของศาสตร์การแพทย์แผนจีน โดยทั่วไปแบ่งเป็น 5 สี
ในขณะเดียวกันทางการแพทย์ทั่วไปใช้ การเปลี่ยนสีของลิ้น สามารถบอกโรคและสาเหตุของปัญหาสุขภาพทได้หลากหลาย
ลิ้น มีความสำคัญไม่ต่างจากอวัยวะอื่น ๆ หากเราไม่มีลิ้นก็ไม่สามารถพูดออกเสียงหรือร้องเพลงได้ชัดเจน การรักษาความสะอาดของลิ้นก็เป็นเรื่องสำคัญ ทุกครั้งที่แปรงฟันอย่าลืม "แปรงลิ้น" เพื่อไม่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคด้วยนะ
ขอบคุณแหล่งข้อมูล: huachiewtcm.com, ลิ้นบอกโรค แพทย์จีนโสรัจ นิโรธสมาบัติ , il.mahidol.ac.th, old-book.ru.ac.th