ทุกครั้งที่ฝนใกล้ตก เรามักสัมผัสได้จาก “กลิ่นฝน” จาง ๆ ที่ลอยมาตามอากาศ เป็นสัญญาณเตือนว่า ต้องรีบเก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้แล้วสินะ และเมื่อฝนหยุดตกหลายคนก็มักจะดื่มด่ำกับบรรยากาศจาก “ไอดินกลิ่นฝน” ที่พัดโชยมา กลิ่นหอมที่มาพร้อมฝน มีผลต่อชีวิตอย่างน่าอัศจรรย์ ALTV จึงอยากพาทุกคนมาทำความรู้จักเจ้าปรากฏการณ์นี้ไปพร้อมกัน
กลิ่นฝนที่หลายคุ้นเคย สามารถอธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ เมื่อฝนตกกระทบพื้นดินและต้นไม้ใบหญ้า บรรยากาศจะเต็มไปด้วยสปอร์ของแบคทีเรียและน้ำมันหอมระเหยจากพืช ที่ถูกปลดปล่อยออกมาผสมผสานกันอย่างลงตัว เมื่อปรากฏการณ์ฟ้าแลบฟ้าร้องพัดพา “โอโซน” มารวมกับละออง จีโอสมิน (Geosmin) จากแบคทีเรียตัวจิ๋วที่อยู่ในดิน หรือไม่ก็น้ำมันจากพืชและดอกไม้ ก่อเกิดเป็น “กลิ่นอโรมา” ที่เรียกว่า “เพทริคอร์” (Petrichor) หากเราสูดดมเข้าเต็มปอดจะรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย และถูกกระตุ้นให้หวนคิดถึงความหลังพร้อมทั้งจุดประกายอารมณ์ที่แตกต่างกัน บางคนอาจนึกถึงความเงียบสงบของวิวทุ่งนา หรือไม่ก็เตียงนอนนุ่ม ๆ ที่บ้าน นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมใคร ๆ มักชอบกลิ่นหอมของหน้าฝน
กลิ่นฝน หรือเพทริคอร์ ไม่เพียงแค่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวน แต่ยังเป็น “กลิ่นแห่งชีวิต” ที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์และสัตว์ด้วย
กระตุ้นเกษตรกรให้ทำสวนพรวนดิน หลังจากพายุเคลื่อนผ่านไป สิ่งที่มักหลงเหลือไว้คือกลิ่นของจีโอสมินที่อยู่ในดิน และเมื่อกลิ่นนั้นโชยมาเกษตรกรเริ่มรู้ตัวว่าต้องลุกขึ้นมาขุดกลบหน้าดิน
น้ำหอมของชาวอะบอริจิน จีโอสมินในกลิ่นฝนทำหน้าที่เสมือนแอลกอฮอล์ช่วยดึงความหอมของใบพืชและดอกไม้ให้ชัดเจนมากขึ้น ชาวอะบอริจินจำนวนมากผลิตน้ำหอมของตัวเองด้วยไขมันจากพืช และถูมันลงบนเรือนร่าง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกันระหว่างร่างกายและธรรมชาติ เชื่อกันว่ากลิ่นนี้จะปกป้องและชำระล้าง
ได้เวลาอาหารของ มด ตะขาบ กิ้งกือ ในธรรมชาติสัตว์นานาชนิดก็มีความไวต่อกลิ่นฝนเช่นกัน สัตว์ตัวเล็ก เช่น มดและแมลงจะออกมากินพืชซากสัตว์ที่ตายแล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการย่อยสลายโดยธรรมชาติ
แบคทีเรียได้แพร่พันธุ์ กลิ่นฝนสามารถยั่วเย้าให้สัตว์กระหาย เช่น เป็นสัญญาณที่ช่วยให้อูฐหาทางไปแหล่งน้ำในทะเลทราย ในทางกลับกันแบคทีเรียก็ใช้อูฐเป็นพาหะสำหรับขยายพันธุ์พวกมันด้วย
จริงอยู่ที่ไอดินและกลิ่นฝนช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและไม่เป็นอันตราย แต่ก็มักมีมลพิษรวมด้วย เช่น ฝุ่น PM2.5, สารเคมีจากปุ๋ย, สารอันตรายจากโรงงาน และเชื้อไวรัสที่ทำให้เราไม่สบายได้
มีการทดลองของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ บันทึกภาพเม็ดฝนที่กระทบกับพื้นผิวแบบต่าง ๆ จำนวน 28 แบบ รวมกว่า 600 ครั้ง ทำให้เข้าใจว่าเมื่อหยดน้ำกระทบลงบนพื้น ฟองอากาศเล็ก ๆ จะแตกกระจายเป็นละอองลอยขึ้นไปบนอากาศ เรียกว่า แอโรซอล (aerosol) ซึ่งกลไกนี้ทำให้สิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ลอยฟุ้งตามมาด้วย
ดังนั้นการเป็นหวัดหน้าฝนไม่ได้มาจากกลิ่น แต่มาจากการฟุ้งกระจายของสารเคมีและแบคทีเรียที่เม็ดฝนตกกระทบต่างหาก
สวมหน้ากากอนามัย ฝุ่นละอองในฤดูฝนทำให้หลายคนเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจได้ง่าย เช่น หวัด ไอ จาม และโควิด-19 การสวมหน้ากากอนามัยจะช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้มากถึง 98% หากสวมอย่างถูกต้อง เช่น
ชำระล้างร่างกายหลังโดนฝน เมื่อฝนโปรยปรายคุณอาจได้รับเชื้อไวรัสต่าง ๆ มาด้วย ยิ่งถ้าหากอุณภูมิในร่างกายคุณลดลงไวรัสบางสายพันธุ์ยิ่งแพร่กระจายได้ดี บางคนชินกับการโดนฝนปล่อยเลยตามเลยทำให้กลายเป็นแหล่งสะสมสิ่งสกปรก การอาบน้ำสระผมทันทีจะกำจัดแบคทีเรียที่เกาะตามร่างกายและช่วยลดโอกาสเจ็บปวดจากไข้หวัดได้
กินอาหารต้านหวัด ความหลากหลายของธรรมชาติ มีสารอาหารและวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ที่สำคัญยังช่วยต้านไข้หวัดด้วย ได้แก่
นอนให้เพียงพอ สุขภาพของคนเราจะดีได้เมื่อนอนอย่างมีคุณภาพวันละ 7 - 8 ชั่วโมง เพราะการนอนอย่างเพียงพอจะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ฟื้นฟูพละกำลัง ทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานเป็นปกติ
นอกจากไอดินและกลิ่นฝน สามารถเรียนรู้เรื่องเมฆและการพยากรณ์อากาศ กับคุณครูแม็กซ์ อภินันท์ พลันการ ได้ใน ห้องเรียนติวเข้ม ม.ต้น (คลิก)
ขอบคุณข้อมูล: soscity.co, theatlantic.com, dailyillini.com