“กระต่าย” เป็นสัตว์ที่อยู่ท้ายสุดของห่วงโซ่อาหารและผูกพันกับมนุษย์มายาวนาน คนโบราณเชื่อว่าพวกมันมักนำพา “ความโชคดี” มาให้เสมอ อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ประจำ “ปีเถาะ” สัตว์ลำดับที่ 4 ในรอบปีนักษัตรตามความเชื่อของชาวเอเชีย สำหรับปี 2566 นี้ซึ่งเป็น “ปีทองของเถาะ” ALTV จะพาทุกคนมาเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับ “กระต่าย” ในหลากหลายมิติ ตั้งแต่ลักษณะพิเศษ ความหมายเชิงสัญลักษณ์ รวมถึงตำนานและความเชื่อต่าง ๆ
“กระต่าย” เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ขนปุกปุย ที่มีบุคลิกและพฤติกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่ “ว่านอนสอนง่าย” ไปจนถึง “ดุดันไม่เกรงใจใคร” ตัวตนที่แท้จริงของพวกมันจะน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนอย่างรูปลักษณ์ภายนอกหรือไม่ มาดูกัน
ชอบอยู่เป็นหมู่คณะ
กระต่ายเป็นสัตว์สังคมสูง อาศัยอยู่ในป่าเป็นครอบครัว ส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์จากการอยู่ร่วมกับกระต่ายตัวอื่น ๆ พวกมันจึงมีอุปนิสัยที่อ่อนโยนและเป็นมิตรต่อมนุษย์ แต่สำหรับกระต่ายที่ถูกแยกออกจากสังคมหรือถูกเลี้ยงอย่าง “โดดเดี่ยว” ตั้งแต่เด็ก (เริ่มตั้งแต่อายุ 10-20 วัน) อาจกระวนกระวายและขี้ตกใจง่าย แค่มีใครสักคน “สะดุ้ง” หรือพยายามที่จะจับ พวกมันก็ตกใจแล้ว ซึ่งตอบสนองด้วยพฤติกรรมที่ก้าวร้าว รวมถึง “การกัด” นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนเลี้ยงกระต่ายจึงควรหาคู่หูมาให้มันด้วย
ออกลูกออกหลานเร็วมาก
กระต่ายเป็นสัตว์ที่รู้จักกันดีในเรื่องการสืบพันธุ์ที่รวดเร็ว นอกจากนี้ยัง “มีความต้องการทางเพศสูง” กระต่ายตัวผู้จะทำกิจกรรมทางเพศตลอดเวลาที่มีโอกาส จึงเป็นที่มาของสัญลักษณ์ของความเจ้าชู้หรือ PLAYBOY โดยแต่ละครั้งจะใช้เวลาเพียง 10 วินาทีเท่านั้น ส่วนตัวเมียจะตั้งครรค์ภายใน 30 วัน โดยในหนึ่งครั้งสามารถ ให้กำเนิดลูกมากถึง 14 ตัวในครอกเดียว และสามารถติดลูกได้ทันทีหลังคลอด
มีฟันที่งอกไม่จำกัด
ลักษณะเด่นของ “ฟันกระต่าย” คือ “ฟันหน้า 2 ซี่” ที่สามารถยาวได้เรื่อย ๆ ตลอดชีวิต เนื่องจากกระต่ายเป็นสัตว์ฟันแทะที่มี “รากฟันแบบเปิด” โดยปกติอัตรากรการงอกในแต่ละเดือนประมาณ 1 เซ็นติเมตร และในกรณีที่ไม่มีฟันคุด การงอกอาจมากถึง 1 มิลลิเมตรต่อวัน ซึ่งหากยาวมากเกินไปพวกมันอาจประสบปัญหา “การสบฟันที่ผิดปกติ” ทำให้กินอาหารอย่างลำบาก เจ็บปวดเมื่อเคี้ยว มีแผลและฝีในปาก น้ำลายไหล ปัญหาในการดูแลขน และน้ำหนักลด ดังนั้นกระต่ายจึงต้องการอาหารหยาบและอาหารที่มีเส้นใยมากพอเพื่อ “ลับฟัน” และลดอาการฟันสึกหรอ
สุดยอดนักกระโดดสูง
ข้อมูลจากเว็บไซต์ animalfunfacts.net ระบุว่ากระต่ายสายพันธุ์ป่าติดอันดับดับ 6 ใน 9 ของสัตว์ที่กระโดดสูงที่สุดในโลก เพราะว่าพวกมันมี “สะโพกและขาที่ทรงพลัง” เปรียบกับสปริงที่ขดไว้ ซึ่งสถิติที่วัดได้สูงที่สุด คือ 99.5 เซนติเมตรต่อการกระโดดครั้งเดียว! นอกจากการกระโดดสูงแล้ว กระต่ายยังแสดงความสุขด้วยการวิ่งไปมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเตะแขนขาไปด้านหลัง ด้านข้างและส่ายหัว ซึ่งพฤติกรรมการกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขลักษณะนี้ เรียกว่า “binky”
ลักษณะและพฤติกรรมอันโดดเด่นของกระต่าย เช่น ขี้ตกใจ สืบพันธุ์รวดเร็ว และการกระโดดที่แข็งแรง มักถูกหยิบมาเปรียบเปรยในสุภาษิตไทยได้หลายความหมาย มาเรียนรู้กันว่า กระต่าย นั้นซ่อนอยู่ในสำนวนใดบ้าง
กระต่ายหมายจันทร์
หมายถึง ผู้ชายที่ต่ำต้อยหมายปองผู้หญิงที่มีฐานะดีกว่า โดยเปรียบเทียบฝ่ายชายเป็นกระต่าย และฝ่ายหญิงเป็นดวงจันทร์ ส่วนใหญ่ใช้กับคู่รักที่ไม่คู่ควรกัน มีความหมายคล้ายกับสำนวนดอกฟ้ากับหมาวัด
กระต่ายตื่นตูม
หมายถึง อาการตื่นตระหนกตกใจง่ายโดยไม่ทันได้คิดให้ดีก่อน มาจากนิทานอีสปเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวของกระต่ายตัวหนึ่งที่กำลังหลับใหลอยู่ใต้ต้นตาล ทันใดนั้นลูกตาลก็หล่นลงมาและทำให้สะดุ้งตื่น เจ้ากระต่ายที่คิดว่าฟ้าถล่ม จึงวิ่งไปบอกสัตว์อื่น ๆ ให้วุ่น พวกสัตว์นั้นก็พากันตกใจกันใหญ่
กระต่ายสามขา
หมายถึง ยืนกรานไม่ยอมรับอยู่ฝ่ายเดียว เปรียบกับคนที่มักโต้แย้งจากมุมมองของตัวเองเพียงฝ่ายเดียว ที่มาของสุภาษิตนี้มีอยู่ว่า กระต่ายป่าตัวหนึ่งบาดเจ็บจากการไล่ล่าของนายพรานและเข้ามาตายในวัด ลูกศิษย์เห็นเข้าจึงกระต่ายตัวนั้นมาทำเป็นอาหารเพื่อถวายพระอาจารย์ เมื่อทำเสร็จ ตนนึกอยากลิ้มลองจึงแอบกิน 1 ขา และนำ 3 ขาที่เหลือไปถวาย พระอาจารย์รู้แล้วจึงแกล้งถาม "กระต่ายมี 3 ขาเท่านั้นหรือ" ลูกศิษย์ก็ยืนกรานตอบว่ามีเท่านั้นจริง ๆ แม้จะถามย้ำก็ได้คำตอบเช่นเดิม
วันเวลาผ่านไป วันหนึ่ง ลูกศิษย์ได้แอบทดลองสรรพคุณยาวิเศษของพระอาจารย์ ที่ทาแล้วหายตัวได้ จึงทายาทั่วร่างแล้วหายตัวเข้าไปวัง ครั้นเห็นกระยาหารของพระราชาก็อดใจไม่อยู่ ตรงเข้าไปกินจนเหงื่อไหลไคลย้อย ยาวิเศษที่ทาตัวเอาไว้ก็ละลายไปหมด ทำให้พระราชาจับได้ และต้องได้รับโทษประหารชีวิต เมื่อพระอาจารย์ทราบข่าวก็รีบมาดูใจ และลองถามเรื่องกระต่าย 3 ขาอีกครั้งหนึ่ง ลูกศิษย์ก็ยืนกรานคำตอบดังเดิม (ที่มา : สำนักงานราชบัณฑิตยสภา กระต่ายสามขา)
จากนิทานอีสปเรื่อง “กระต่ายกับเต่า” อาจทำให้ภาพลักษณ์ของกระต่ายดูเป็นสัตว์เจ้าเล่ห์และไม่น่ารัก แต่ในหลายวัฒนธรรมต่างยกย่องสัตว์ชนิดนี้เป็น “ตัวแทนแห่งความโชคดีและความอุดมสมบูรณ์” มาตั้งแต่โบราณ นอกจากนี้ “กระต่าย” ยังถูกเชื่อมโยงกับ “พระจันทร์” ตามตำนานและความเชื่อที่คล้ายกันของหลายชาติ
การมองเห็น “กระต่ายบนพื้นผิวดวงจันทร์” อาจเป็นเพียงจินตนาการคล้ายกับการมองก้อนเมฆเป็นรูปร่างต่าง ๆ เกิดเป็นตำนาน “ตำนานกระต่ายในเงาจันทร์” ที่เริ่มต้นกล่าวขานกันในประเทศอินเดีย ก่อนจะเผยแพร่ไปประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีและอีกหลายประเทศทั่วโลก
มีนิทานแฝงคติธรรมเรื่องหนึ่ง เล่าว่า ครั้งหนึ่งพระอินทร์ต้องการทดสอบบารมีสัตว์ทั้ง 4 ได้แก่ ลิง สุนัขจิ้งจอก นากและกระต่าย ขณะที่บำเพ็ญตนเป็นฤๅษีอยู่ในป่า จึงปลอมตัวเป็นพราหมณ์ผู้หิวโหยเพื่อขอทานอาหาร “ลิง”เป็นผู้ให้ทานเป็นตัวแรก โดยนำ “มะม่วง” มามอบให้ ต่อมา “นาก” ได้นำ “ปลาตาย” ที่เกยตื้นอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมามอบให้ ส่วน “สุนัขจิ้งจอก “ ก็มอบ “นมและผลไม้แห้ง”
เมื่อถึงคราวที่พราหมณ์ขออาหารจากกระต่าย แต่กระต่ายผู้น่าสงสารกล่าวว่า “เรากินแต่หญ้าเป็นอาหาร หญ้าก็ไม่มีประโยชน์ใด ๆ กับท่านเลย” ดังนั้นพราหมณ์จึงยื่นข้อเสนอว่า หากกระต่ายต้องการบำเพ็ญกุศลเป็นฤๅษีที่แท้จริง ทำไมไม่สละชีวิตของตนเพื่อเป็นอาหารเสียเล่า กระต่ายจึงตอบตกลงทันทีและขอให้ลิงกับสุนัขจิ้งจอกช่วยกันก่อไฟ เพื่อหวังให้ตัวเองเป็นอาหารสุกแก่พราหมณ์
ก่อนที่กระต่ายจะกระโจนเข้ากองไฟ ทันใดนั้น พระอินทร์ก็ทรงเปิดเผยตัวตน และด้วยความรู้สึกประทับใจในการเสียสละของกระต่าย พระองค์จึงทรงนำกระต่ายไปไว้บนดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง เพื่อเป็นเครื่องรำลึกแก่มวลมนุษย์
ที่มา : gwangjunewsgic.com
ตำนานของจีน เล่าว่า ภาพกระต่ายที่เห็นบนดวงจันทร์ เป็นกระต่ายที่กำลังตำข้าวในครกให้แก่เจ้านาย นามว่า “ฉางเอ๋อ” เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ ผู้มีหน้าที่ปรุงยาอายุวัฒนะถวายแด่เง็กเซียนฮ่องเต่ ดังนั้น จึงมีความเชื่อที่ว่า การมอบสิ่งของที่เป็นรูปกระต่าย ถือเป็นการมอบความปรารถนาดีและโชควาสนาให้แก่กัน
แต่ในตำนานของญี่ปุ่นอาจมองเห็นต่างออกไปนิดหน่อย เชื่อว่า ภาพที่เห็นบนพื้นผิวดวงจันทร์ เป็นภาพกระต่ายกำลังทุบเค้กข้าวโมจิ ซึ่งเกี่ยวกับ “เทศกาลชมจันทร์” ในญี่ปุ่นที่เรียกว่า “ทสึกิมิ” (月見)
ตำนานของเวียดนาม เป็นเรื่องราวของ “กระต่ายขาว” ตัวหนึ่งซึ่งกำลังจัดปาร์ตี้กับผองเพื่อนเพื่อต้อนรับวันพระจันทร์เต็มดวง ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องโหยหวนจากชายชราผู้หิวโหยและกำลังจะเป็นลม เมื่อกระต่ายขาวจะนำอาหารมาเลี้ยงชายชรา กลับพบว่าสุนัขจิ้งจอกได้ขโมยอาหารไปหมดแล้ว กระต่ายขาวอาสาจึงออกไปหาอาหารมาเพิ่ม หลังจากนั้นชายชราก็หายตัวไป สุดท้ายก็ปรากฏความจริงว่า “ชายชราผู้นั้นคือเทพธิดาแห่งดวงจันทร์” ที่แปลงกายมา และเกิดความซึ้งความน้ำใจของกระต่ายขาว จึงตัดสินใจพามันไปอยู่บนดวงจันทร์ด้วย
"Look, I'm just a bunny, but if you're hungry, eat me" ที่มา : Santos Destilados
ข้ามไปยังตำนานฝั่งทวีปอเมริกากันดูบ้าง มีตำนานที่เชื่อมโยงกระต่ายกับดวงจันทร์เอาไว้คล้ายกับตำนานของชาวเอเชีย เช่น ตำนานเก่าแก่ของเม็กซิโก เล่าว่า “เก็ตซัลโกอาตล์” (Quetzalcōātl) เทพผู้สร้างโลกในความเชื่อของชาวแอซเท็ก ได้แปลงกายมาขออาหารกับกระต่าย เมื่อประทับใจในการเสียสละของกระต่ายจึงฝังกระต่ายไว้บนดวงจันทร์ เพื่อให้คนทั้งโลกจดจำ
ในตำนานของ “เผ่าครี” (Cree) ชนเผ่าพื้นเมืองในอเมริกา เล่าว่า มีกระต่ายสาวตัวหนึ่งที่พยายามจะขี่ดวงจันทร์ มีเพียง “นกกระเรียนไอกรน” (Grus americana) ที่จะบินพามันไปสำเร็จ แต่ระหว่างการเดินทาง ขาที่เหยียดออกของนกกระเรียน บวกกับน้ำหนักตัวที่มากทำให้กระต่ายต้องเกาะให้แน่น จนกระทั่งอุ้งเท้าของมันเกิดเลือดไหล เมื่อไปถึงดวงจันทร์ กระต่ายจึงวางอุ้งเท้าของมันไว้บนหัวของนกกระเรียน ทิ้งรอยสีแดงไว้เป็นตราของนกกระเรียนไอกรน จนถึงทุกวันนี้
ตามปฏิทินจันทรคติของจีนและไทย รวมถึงชาติอื่น ๆ ทั่วเอเชีย มีคติการนับรอบ 12 ปีนักษัตรกันอย่างแพร่หลาย ซึ่ง “เถาะ” เป็นปีนักษัตรลำดับที่ 4 ที่มีสัญลักษณ์เป็น “กระต่าย” ในทางโหราศาสตร์ของจีน “กระต่ายเป็นสัตว์ที่โชคดีที่สุด” ในบรรดาสัตว์ทั้ง 12 ตัว นอกจากนี้ยังเป็นตัวแทนแห่งความเมตตา ความสง่างาม และความงาม
อุปนิสัยของคนเกิดปีเถาะ ในทางโหราศาสตร์ถือว่าเป็นคนสุขุมเยือกเย็น ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ และไตร่ตรองอย่างถูกต้อง ไม่ชอบการปะทะ จึงมักหาจังหวะหลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาทตลอดเวลา มีความเป็นศิลปินและมีรสนิยมที่ดีในการใช้ชีวิต ชาวกระต่ายนั้นมีความเฉลียวฉลาด ช่างประดิษฐ์ประดอย ละเอียดถี่ถ้วนและมักทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด อาชีพที่เหมาะสมก็อย่าง เช่น นักวิชาการ งานด้านออกแบบ งานด้านวงการบันเทิง เป็นต้น
ที่มา : www.reddit.com
ตัวอย่าง คนดังที่เกิดปีกระต่าย
ที่มา : Warner Bros. Entertainment
Bugs Bunny กับท่ากัดแครอทสุดเท่
“Bugs Bunny” ตัวการ์ตูนกระต่ายอันโด่งดังไม่มีใครไม่รู้จัก จากภาพยนตร์การ์ตูน Looney Tunes ปรากฏครั้งแรกในปี 1938 (พ.ศ. 2481) ตัวการ์ตูนตัวนี้ที่มีภาพลักษณ์ “ฉลาด ตลก ไหวพริบดี” มาพร้อมกับ “ท่ากัดแครอทสุดเท่” ของเขา รู้จักกันดีจากการเป็น “คู่อริกับ เอลเมอร์ ฟัดด์” ทุกครั้งที่มีเรื่องมีราวกัน บักส์ บันนี จะได้ชัยชนะเสมอ
“Bugs Bunny” ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวอเมริกัน ซึ่งได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในช่วง “ยุคทองของแอนิเมชั่นอเมริกัน” โดยตัวละครนี้ปรากฏในภาพยนตร์สั้นการ์ตูน มากกว่า 150 เรื่องในเวลาเพียง 24 ปี ขนาดที่ว่าค่ายหนังยักษ์ใหญ่ Warner Bros เลือกเขาเป็นมาสคอต “ตัวการ์ตูนนำโชค” ประจำ Looney Tunes อย่างเป็นทางการ
ที่มา : Pixy
ด้วยความโด่งดังเป็นพลุแตกนี้เองจึงทำให้ บักส์ ได้รับการยกย่องในฐานะในตัวการ์ตูนที่แสดงภาพยนตร์มากที่สุดตัวหนึ่งของโลก แถมยังมีดาวเป็นของตัวเองที่จารึกบนทางเท้า Hollywood Walk of Fame มากกว่า 2,500 ชิ้น
ที่มา : theguardian.com
March Hare กระต่ายเดือนสามในดินแดนมหัศจรรย์
กระต่ายขาวสุดเพี้ยนที่ปรากฏตัวในงานเลี้ยงน้ำชา มีชื่อเรียกว่า “March Hare” หรือกระต่ายเดือนสาม เป็นตัวละครที่มีชื่อเสียงที่สุดในวรรณกรรมเรื่อง Alice's Adventures in Wonderland หรือ อลิซในแดนมหัศจรรย์ มีบุคลิกไม่อยู่นิ่ง กระวนกระวาย และมักยื่นถ้วยชาให้อลิซซ้ำแล้วซ้ำเล่า เดี๋ยวยื่นให้ เดี๋ยวดึงกลับจนทำให้เสียสมาธิ
ลักษณะเด่นของตัวละครนี้ มีการสันนิษฐานว่าเป็นที่มาของสำนวนในภาษาอังกฤษ คือ Mad as a March hare แปลว่า "เพี้ยนเหมือนกระต่ายเดือนสาม" เป็นการเปรียบเปรยพฤติกรรมสุดบ้าบิ่นของกระต่ายป่ายูโรป ในช่วงฤดูผสมพันธุ์โดยเฉพาะเดือนมีนาคม สำนวนนี้มักหยิบยกมาเป็นมุขตลก เปรียบถึงสัตว์หรือมนุษย์ที่มีพฤติกรรมตื่นเต้นและคาดเดาพฤติกรรมไม่ได้
กระต่ายนั้นเป็นสัตว์ที่บอบบางและต้องการการเอาใจใส่ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ทั้งเรื่องความสะอาดและอาหารการกิน หากต้องการเรียนรู้เรื่องกระต่ายสายพันธุ์ต่าง ๆ รวมถึงวิธีการเลี้ยงที่ถูกต้อง สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ในรายการ สนุกเรียน Active learning (คลิก) รายการที่จะพาน้อง ๆ หนูไปทำภารกิจต่าง ๆ นอกห้องเรียนอย่างสนุกนาน
ขอบคุณข้อมูล : ครูบ้านนอกดอทคอม, gururabbitclub.com, natgeokids.com, tnnthailand.com