วิทูรย์ ปัญญากุล เลขาธิการมูลนิธิสายใยแผ่นดิน ผู้เชี่ยวชาญทางเกษตรอินทรีย์ สะท้อนมุมมองการทำเกษตรอินทรีย์ว่า สามารถใช้สารเคมีที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ได้ตามหลักสากล แต่มีกิจกรรมหลายอย่างที่ไม่อนุญาตเช่น การเตรียมดินเพื่อการเผา ปรับแปลง หรือไม่อนุญาตให้ทำการเกษตรบนพื้นที่ลาดชันโดยไม่มีการป้องกันการชะล้างหน้าดิน
แนวคิดหลักของเกษตรอินทรีย์ เป็นการทำเกษตรเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม ภายใต้หลักการ 4 ข้อ คือการรักษาสุขภาพ, ระบบนิเวศ, ความเป็นธรรม และการดูแลเอาใจใส่ หลายคนเข้าใจว่าเกษตรอินทรีย์เป็นเรื่องสุขภาพผู้บริโภค แต่ในความเป็นจริงหัวใจของเกษตรอินทรีย์คือเรื่องสุขภาพของดิน เพราะเราเชื่อว่าพืชที่ปลูกในดินที่ดีมีความอุดมสมบูรณ์ พืชจะมีความแข็งแรง สัตว์ที่ไปกินพืชในดินที่ดีจะมีสุขภาพแข็งแรงด้วยเช่นกัน
ดังนั้นการมีสุขภาพที่ดี คือการเชื่อมโยงจากดินสู่พืช จากพืชสู่สัตว์สุดท้ายสุขภาพที่ดีจะเชื่อมโยงไปสู่มนุษย์ ไม่ใช่เรื่องสารเคมีตกค้าง เพราะพื้นที่ปลูกเกษตรอินทรีย์ยังคงปลูกอยู่ท่ามกลางระบบนิเวศล้อมที่มีการใช้สารเคมี ในอดีตที่เคยได้ยินสารเคมีที่เรียกว่า ดีดีที (DDT) หรือไดคลอโรไดฟีนิลไตรคลอโรอีเทน ป็นสารเคมีตกค้างที่นานมากกว่า 40-50 ปี ผ่านไปยังคงตรวจพบในระบบนิเวศ
วิทูรย์ ยอมรับว่า เกษตรอินทรีย์มีสารเคมีปนเปื้อนและเกษตรกรพยายามลดการปนเปื้อนด้วยการทำแนวกั้น แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถลดการปนเปื้อนนั้นจนเป็นศูนย์ได้ รวมถึงเกษตรอินทรีย์อนุญาตให้มีการใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ซึ่งมีการปนเปื้อนของสารเคมี เพราะหากไม่นำของเหลือจากอุตสาหกรรมมาใช้ ย่อมเกิดเป็นขยะ สร้างปัญหามลพิษต่างๆ ตามมา ดังนั้นการใช้ปัจจัยการผลิตที่มาจากระบบนิเวศทั่วไป จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการหมุนเวียนด้านอาหาร ลดปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการทำเกษตรระบบโรงงานต่างๆ
ด้วยเหตุผลนี้ “เกษตรอินทรีย์” จึงเป็นเกษตรที่ให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม การทำกิจกรรมต่างๆ จึงเป็นเพียงกิจกรรมที่ช่วยกันอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม สมาพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ (International Federation of Organic Agriculture Movements – IFOAM)เป็นองค์กรของคนทำงานด้านเกษตรอินทรีย์ทั่วโลก 700 กว่าองค์กร ตั้งอยู่ในประเทศเยอรมัน
ระบุว่า การทำเกษตรอินทรีย์ ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องความยั่งยืน ภายใต้เป้าหมายของการสร้างระบบปิดในภาคอาหาร หรือการพึ่งพอตัวเองในชุมชนท้องถิ่น ปฏิเสธการใช้ปุ๋ยเคมีสังเคราะห์ โดยเฉพาะสารที่มีพิษมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เน้นการเลี้ยงสัตว์ระบบเปิด 24ชั่วโมง เพื่อให้ได้อาหารจากธรรมชาติในพื้นที่ รวมถึงข้อกำหนดความหนาแน่นของปริมาณสัตว์ที่เลี้ยง เพื่อไม่ให้ให้สัตว์เกิดความเครียด นำไปสู่การแพร่เชื้อโรคต่างๆ จนต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกัน
“เกษตรอินทรีย์ เน้นการให้อาหารกับดิน เพื่อดินจะให้อาหารกับพืช ในขณะที่เกษตรทั่วไปเน้นการให้อาหารกับพืชโดยตรง ฉะนั้นการทำเกษตรอินทรีย์ คือจะทำอย่างไรให้ดินได้รับสารอาหารโดยตรง ซึ่งมีผลต่อการเก็บกักคาร์บอนการตรงคาร์บอน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในรูปแบบต่างๆ”
จากการศึกษาวิจัยการปลูกพืชแบบเกษตรอินทรีย์ ทำให้ดินมีคุณภาพดีขึ้น ทั้งในเชิงกายภาพและชีวภาพ เคมี ทำให้ดินมีธาตุอาหารที่จำเป็นทั้งธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรอง ที่ครบถ้วนมากกว่าการใช้ปุ๋ยเคมี รวมถึงโครงสร้างดินดีขึ้น สังเกตได้จากการเดินเท้าเปล่าเพื่อสัมผัสกับดินโดยตรง แปลงเกษตรอินทรีย์จะพบว่าดินมีความนุ่มขึ้น เป็นส่วนหนึ่งของภาพสะท้อนของดินที่มีโครงสร้างดี สามารถซึมซับน้ำและน้ำไหลผ่านดินได้ดีขึ้นถึง 137%
นอกจากนี้ เกษตรอินทรีย์ยังช่วยลดปัญหาสูญเสียหน้าดินจากการชะล้างถึง 26% การเลี้ยงสัตว์ในระบบเกษตรอินทรีย์ ต้องมีการปูคอกด้วยอินทรีย์วัตถุที่มีคาร์บอนสูงจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสาเหตุภาวะโลกเดือด โดยเฉพาะก๊าซมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 50 - 70%
นอกจากการลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากการจัดการปุ๋ยคอกที่ดีแล้ว ยังมีการเก็บกักคาร์บอนในดิน เพราะการใช้อินทรีย์วัตถุในดินอย่างถูกต้องจะเกิดการย่อยสลายคาร์บอนไดออกไซด์ถูกปล่อยออกมา แต่ยังมีคาร์บอนจำนวนมากที่ถูกเก็บกักไว้ในดิน ไม่น้อยกว่า 3.5 ตันคาร์บอน หรือร้อยกว่ากิโลกรัมต่อคาร์บอนไดออกไซด์ต่อไร่ต่อปี โดยภาพรวมระดับโลก การเลี่ยงใช้ปุ๋ยเคมีสังเคราะห์สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 20% ฉะนั้น การเปลี่ยนจากปุ๋ยเคมีมาใช้ปุ๋นอินทรีย์ในรูปแบบต่างๆ สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ค่อนข้างมากอย่างมีนัยยะสำคัญ ก๊าซในกลุ่มไนตัสออกไซด์ลดลงได้มากถึง 40% ต่อไร่ กษตรอินทรีย์ จึงเป็นหนึ่งในวิธีการที่ลดง่าย ต้นทุนไม่สูง สามารถลดการเกิดภาวะโลกร้อนได้
ยกตัวอย่างกรณีศึกษา การทำแปลงเกษตรอินทรีย์ พบความหลากหลายทางชีวิภาพของสิ่งมีชีวิตเพิ่มขึ้นในฟาร์มไม่น้อยกว่า 30% พืชที่มีความหลากหลายมากขึ้น 20 - 29% โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นขอบแปลงหรือแนวกันชน มีแมลงเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 23 ชนิด เป็นแมลงกลุ่มตระกูลผึ้ง 30% แมลงผสมเกษตรเหล่านี้มีความสำคัญมากโดยเฉพาะผึ้ง เกษตรที่ใช้สารเคมีกลุ่มนีโอนิโคตินอยด์ ซึ่งเป็นยากำจัดแมลงที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในโลก ส่งผลกระทบต่อผึ้งที่ตายลงหรือเกิดการอพยพ ดังนั้นการพบแมลงผสมเกษรจำนวนเพิ่มขึ้นจะเป็นตัวชี้วัดที่ดีทั้งการเกษตรและสิ่งแวดล้อม
ทรัพยากรน้ำ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญและเป็นข้อจำกัดโดยเฉพาะน้ำจืด การใช้สารเคมีที่มากเกินไป ส่งผลให้เกิดการชะล้างสารเหล่านั้นลงสู่ระบบน้ำ โดยเฉพาะในระบบเกษตรอินทรีย์ กำหนดและควบคุมปริมาณการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เพราะมีความเสี่ยงต่อการชะล้างธาตุไนโตรเจนลงสู่ระบบน้ำในผิวดินหรือน้ำใต้ดิน
จากการศึกษาของกรีนเนท (Green Net Cooperative) องค์กรส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ พบว่าหากเลี่ยงสารเคมีทางการเกษตร ย่อมลดการปนเปื้อนของสารเคมีเหล่านั้นลงด้วย คำถามสำคัญคือ นอกจากนี้ยังพบว่าเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทยไม่ขยายวงกว้าง เนื่องจากเกษตรกรระบบเกษตรอินทรีย์มีพื้นที่การผลิตน้อยกว่า 1%
“อุปสรรคของการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทย คือระบบภาครัฐ จึงควรมีการปรับระบบโครงสร้างซึ่งป็นการกลัดกระตุมเม็ดแรกที่สำคัญ สุดท้ายอยากชวนทุกคนให้ตระหนักกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมกันฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องส่งต่อโลกที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีระบบบนิเวศที่ดีให้กับลูกหลานต่อไป”
วิทูรย์ ย้ำว่า หนึ่งในปัจจัยที่เป็นข้อจำกัดของระบบเกษตรอินทรีย์ คือการกำหนดนโยบายที่เน้นให้หน่วยงานครัฐ ขับเคลื่อนงานส่งเสริม ทั้งที่เกษตรกรมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และมีความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์มากกว่าเจ้าหน้าที่ รวมถึงการโยกย้ายเจ้าหน้าที่รัฐตามวาระทำให้การขยายองค์ความรู้หรือการขับเคลื่อนงานขาดความต่อเนื่อง หากย้อนกลับมาดูระบบการส่งเสริมในต่างประเทศ ที่ไม่ได้ให้ภาครัฐเป็นผู้กำหนดแผนฝ่ายเดียว แต่มีการตั้งงบเพื่อการส่งเสริมให้เกษตรกรเป็นผู้มีสิทธิ์เลือก หน่วยงานที่จะเข้ามาดูแลให้องค์ความรู้ ซึ่งอาจจะเป็นภาคเอกชน มหาวิทยาลัย หรือบริษัทเพื่อเป็นที่ปรึกษา เพราะที่ผ่านมาการส่งเสริมจากภาครัฐยังไม่ตอบโจทย์เกษตรกรระบบอินทรีย์ จึงควรแก้ที่กระดุมเม็ดแรกคือทำให้ระบบการส่งเสริมมีประสิทธิภาพ
หมายเหตุ : เรียบเรียงจาก DxC Talk ตอน "เกษตรอินทรีย์กู้โลก"