“ช่วงฤดูมรสุม หลายประเทศต่างเผชิญภัยพิบัติจากน้ำท่วมที่หนักหนาสาหัสกว่าในอดีต เพราะความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ที่ทำให้เกิดพายุถี่ขึ้นและทวีความรุนแรงมากขึ้น แม้แต่ในเมืองใหญ่ ที่มีระบบระบายน้ำที่ดี กลับยังไม่อาจรับมือน้ำท่วมที่เกิดจากการระบายน้ำไม่ทันได้”
ญี่ปุ่น คือหนึ่งในหลายประเทศที่ต้องเผชิญกับพายุหลายลูกติดต่อกัน ทำให้เมืองสำคัญหลายแห่งเกิดน้ำท่วม ซึ่งน้ำท่วมในเมืองแตกต่างจากน้ำท่วมที่เกิดจากน้ำในแม่น้ำเอ่อล้นตลิ่งหรือทำนบกั้นน้ำพังทลาย แต่น้ำท่วมในเมืองส่วนใหญ่ เกิดจากการระบายไม่ทัน เพราะอิทธิพลของพายุทำให้มีฝนตกกระหน่ำต่อเนื่องข้ามวันข้ามคืนยาวนานหลายสิบชั่วโมง ปริมาณน้ำฝนมากเกินกว่าระบบระบายน้ำของเมืองจะรองรับได้
ช่วงปลายเดือนกรกฏาคม ปี 2566 ที่ผ่านมา หลังจากฝนตกหนัก การดูดซับน้ำในพื้นที่ตัวเมืองของญี่ปุ่น ซึ่งมีคอนกรีตอยู่เป็นจำนวนมากนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย น้ำจึงไหลเข้าไปในท่อระบายน้ำและระบบระบายน้ำใต้ดิน เมื่อเกิดฝนตกหนักในช่วงเวลาอันสั้นจะไม่สามารถระบายน้ำต่อไปได้ น้ำจึงล้นออกมาจากท่อระบายน้ำที่มีฝาปิด ทำให้เกิดน้ำท่วม และแม้จะเป็นพื้นที่ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดน้ำท่วม ก็อาจมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะถูกน้ำท่วมเพราะการพัฒนาพื้นที่เมืองไปขัดขวางการระบายน้ำ
กระทรวงที่ดิน สาธารณูปโภค คมนาคม และการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น ระบุว่า มีแค่ร้อยละ 36ที่เกิดจากน้ำในแม่น้ำเอ่อล้นตลิ่ง ขณะที่ร้อยละ 64 เกิดน้ำท่วมเพราะระบายน้ำไม่ทัน สภาพภูมิอากาศที่ผิดปกติจากภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดฝนตกหนักรุนแรงมากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วม
ทั้งนี้ ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการวางผังเมือง และมีการจัดทำแผนที่ภัยพิบัติ ที่บอกเส้นทางการอพยพหนีภัยเมื่อเกิดแผ่นดินไหวและน้ำท่วม โดยแผนที่ภัยพิบัติที่มุ่งเน้นเฉพาะเรื่องน้ำท่วม ทำขึ้นโดยอ้างอิงจากสมมติฐานความเสียหายของทำนบกั้นน้ำหรือระดับน้ำในแม่น้ำเอ่อล้นตลิ่ง และในเมืองสำคัญยังมีแผนที่ภัยพิบัติที่แยกต่างหาก ที่เน้นเหตุน้ำท่วมที่เกิดจากการระบายน้ำไม่ทัน แผนที่ดังกล่าวจะแสดงให้เห็นพื้นที่ที่อาจเกิดน้ำท่วมเมื่อการระบายน้ำหยุดชะงัก ตลอดจนพื้นที่อพยพหลบภัย และข้อมูลอื่นๆ
เมื่อน้ำท่วมเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นและหลีกเลี่ยงได้ยากขึ้นทุกที จึงทำให้ ฮิเดโอะ ซุรุมากิ อดีตพนักงานบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ตัดสินใจลาออกเพื่อตั้งบริษัทของตนเอง เพื่อคิดค้นผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถลอยน้ำและขับเคลื่อนได้ในน้ำ ซึ่งมีการผลิตรถยนต์ต้นแบบที่เมืองไทยแล้ว
“ผมเคยทำงานในบริษัทผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่มาก่อน จึงอยากทำรถยนต์ขนาดเล็กเพื่อครอบครัว เพราะนักธุรกิจที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่เน้นขนาดธุรกิจ แต่เน้นการตอบโจทย์แก้ปัญหา เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของมนุษย์ บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของผมมีพนักงานประจำเพียง 5 คน แต่สามารถคิดค้นสร้างรถยนต์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกรับมือภัยพิบัติ จากเหตุการณ์สึนามิปี 2011 คุณแม่ไม่ยอมหนีออกจากบ้านแม้จะเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ต้องการจะผลิตรถยนต์ลอยน้ำและขับในน้ำได้ เพื่อปกป้องคุณแม่”
ฮิเดโอะ ซุรุมากิ กล่าวถึงการทำงานคิดค้นวิจัยรถไฟฟ้ากับโรงงานในประเทศไทยว่า ไทยกับญี่ปุ่นมีความผูกพันรวมถึงทั้งสองประเทศต่างต้องเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วม จึงคิดว่ารถยนต์ไฟฟ้าลอยน้ำจะตอบโจทย์ความต้องการและรับมือกับภัยพิบัติได้ เพราะน้ำท่วมรถจะกลายเป็นเหมือนเรือที่ยังสามารถขับได้ปกติ ด้วยพวงมาลัยที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ทุกคนจะได้สัมผัสประสบการณ์ยิ่งใหญ่ด้วยรถคันเล็กๆ คันนี้
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าหนีน้ำท่วม รุ่นแรก ระบบการขับขี่เหมือนรถจักรยานยนต์ เหมาะสำหรับผู้พิการขา ที่สามารถใช้มืออย่างเดียวก็ขับขี่ได้ เมื่อมีน้ำท่วมล้นเข้าถึงจุดที่ตั้งระบบไว้ รถจะลอยตัวในส่วนล้อถูกออกแบบเพื่อดูดน้ำและดันน้ำออก เป็นการขับเคลื่อนเดินหน้าด้วยน้ำ เพราะรถทั่วไปขับในน้ำไม่ได้ใช้ออกซิเจนในการเผาไหม้ แต่รถไฟฟ้าไม่ใช้ออกซิเจนสามารถใช้ในน้ำได้ แบตเตอรรี่ใต้เบาะ 4 ที่ ถ้าไม่เปิดแอร์จะวิ่งได้ 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่หากเปิดแอร์ จะวิ่งได้ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การออกแบบรถยนต์คันนี้ เพื่อเป็นรถปฐมพยาบาลยามเกิดภัยพิบัติน้ำท่วมฉุกเฉิน
ต่อมา มีการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า รุ่น 2 ด้วยการติดตั้งมอเตอร์ที่ล้อ เมื่อกดปุ่มคันเร่งจะสัมผัสที่ล้อทันที มีระบบสั่นสะเทือนแยกต่างหากยิ่งรถเล็กยิ่งมีความสั่นสะเทือนมาก การชาร์ทแบทประมาณ 6 ชั่วโมง พวงมาลัยคล้ายเครื่องบินเจต คันเร่งอยู่ที่นิ้ว ระบบทำความเย็น หรือ ระบบ Pre Cooling หากถอดกุญแจแล้วใช้ปุ่มนี้รถจะเย็นต่อเนื่อง ประหยัดพลังงาน และเป็นแหล่งพลังงานเช่นกัน มีระบบเป็นโบ๊ท หรือเรือ
“การตัดสินใจลาออกจากบริษัทใหญ่ เป็นการท้าทายที่จะทำตามความฝัน ในการเริ่มต้นบริษัทของตัวเอง เพื่อผลิตรถยนต์คันเล็ก ๆ สักคัน เพราะหัวใจของการผลิตรถยนต์ต้องสามารถตอบโจทย์การใช้งานในแต่ละวันได้ ความคล่องตัวคือจุดแข็งของบริษัทขนาดเล็ก ภายใต้แนวทางการทำงานให้ประสบความสำเร็จ ต้องอย่ากลัวอุปสรรค ขอให้เริ่มก้าวเท้าออกไปและลงมือทำ”