(22 ก.พ. 2568) สภาองค์กรของผู้บริโภค ร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และศูนย์สื่อสาธารณะเพื่อเด็กและการเรียนรู้ ไทยพีบีเอส เปิดเวทีเสวนาสาธารณะ เรื่อง การสร้างวิสัยทัศน์ร่วมเพื่อกำหนดทิศทางการศึกษาไทย : ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ฉบับใหม่” นำเสนอเนื้อหาของ ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับใหม่ จาก 4 พรรค ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน และพรรครวมไทยสร้าง รวมทั้งฉบับของสภาการศึกษาที่จะเป็นผู้เสนอร่างฉบับรัฐบาล
สฤษดิ์ บุตรเนียร จากพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า จุดแตกต่างของร่างพระราชบัญญัติที่พรรคภูมิใจไทยเสนอ คือ การให้ความสำคัญกับ ความทั่วถึง เท่าเทียม และทันยุค คือทำให้ทุกกลุ่มเป้าหมายของผู้เรียนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนในเมืองหรือชนบท เพราะในปัจจุบันความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในพื้นที่ต่างๆ ยังคงสูงมาก ความทันยุคเป็นประเด็นสำคัญ หากยังยึดติดกับระบบปริญญาเพียงอย่างเดียว อาจทำให้ผู้เรียนไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดแรงงานได้ ร่างฯ ของพรรคภูมิใจไทย จึงให้ความสำคัญกับการศึกษาสายอาชีวะ ระบบทวิภาคี และการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น รวมทั้งมุ่งเน้นทักษะการเรียนรู้ ทักษะอาชีพ และทักษะชีวิต
“การขีดเส้นอายุช่วงวัยปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงมาก สมัยก่อนจบปริญญาตรีแล้วจึงไปหางานทำ แต่ทุกวันนี้เด็ก 10 ขวบก็สามารถเรียนรู้และเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ด้วยตัวเอง หากกำหนดช่วงอายุของผู้เรียน เช่น 0-1 ปี หรือ 1-3 ปี อาจไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบันที่ควรคำนึงถึงความเท่าเทียมและความทันยุค”
ดร.เทอดชาติ ชัยพงษ์ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จุดเด่นของร่างกฎหมายที่พรรคเพื่อไทยเสนอ ยังคงยึดแนวทางการศึกษาตาม พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งแบ่งการศึกษาออกเป็น 3 รูปแบบ 4 ระดับ 5 ประเภท โดย 3 รูปแบบ ได้แก่ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย 4 ระดับ ได้แก่ ระดับเด็กเล็ก ปฐมวัย พื้นฐาน อุดมศึกษา และ 5 ประเภท ได้แก่ การศึกษาสายสามัญ อาชีวะ เฉพาะทาง ทางเลือก และการศึกษาตลอดชีวิต
"สิ่งแรกที่สถานศึกษาต้องมีคือนักเรียนและครู ซึ่งใน ร่างนี้จะทำให้วิชาชีพครูดีขึ้น มีวิทยฐานะตามผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน และให้โรงเรียนเป็นผู้ประเมิน โดยบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดครูที่สุดอย่างผู้อำนวยการโรงเรียนจะเป็นผู้ประเมินวิทยฐานะระดับ "ชำนาญการ" และ "ชำนาญการพิเศษ" ซึ่งจะอยู่ภายใต้การพิจารณาของสถานศึกษาเอง ไม่ต้องส่งเรื่องไปยังส่วนกลาง ส่วนวิทยฐานะระดับ "เชี่ยวชาญ" จะได้รับการประเมินในระดับเขตพื้นที่การศึกษา และระดับ "เชี่ยวชาญพิเศษ" จะได้รับการพิจารณาโดยคณะกรรมการส่วนกลาง"
นอกจากนี้ ร่างกฎหมายยัง ให้อำนาจสถานศึกษาในการบริหารบุคคล งบประมาณ และทรัพยากรของตนเอง เพื่อให้สถานศึกษามีความเป็นนิติบุคคลอย่างสมบูรณ์ ส่วนงานวิชาการ เช่น หลักสูตรการเรียนการสอน ยังคงมีแนวทางที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันในกรอบหลักสูตร การจัดการศึกษาในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันตามบริบทของแต่ละภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสาน หรือภาคกลาง ซึ่งต้องมีการปรับให้สอดคล้องกับพื้นที่ของตนเอง อย่างไรก็ตาม ควรมีกรอบใหญ่ที่กำหนดทิศทางร่วมกัน
ในส่วนของกองทุนหลักเพื่อสนับสนุนการศึกษา มี 5 กองทุน ได้แก่ กองทุนเสมอภาคโอกาสทางการศึกษา เป็นกองทุนหลัก, กองทุนครูดีของแผ่นดิน, กองทุนเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้, กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำสำหรับภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
การศึกษาเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเด็กในครรภ์ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.), กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข และในช่วงปฐมวัย (6 ขวบขึ้นไป) มีกระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแล ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และยังเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนหรือภาคประชาชนสามารถจัดการศึกษาแบบทางเลือกได้ นอกจากนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ กสทช. มีหน้าที่จัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนสถานศึกษาให้สามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี เช่น การให้ความถี่อินเทอร์เน็ตฟรี จัดหาแท็บเล็ต หรือพัฒนาระบบเครือข่ายเพื่อให้ทุกโรงเรียนมีโอกาสเรียนรู้ที่เท่าเทียมกัน
มีการตั้งคณะกรรมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อวางแผนกำลังคนและแนวทางการผลิตบัณฑิตที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน เช่น การกำหนดจำนวนและสาขาการเรียนของอาชีวศึกษา มีการพัฒนาระบบการฝึกอบรมและพัฒนาครู โดยต่อยอดจากสถาบันพัฒนาครูและบุคลากรเดิม ให้มีบทบาทที่ชัดเจนขึ้น โดยต้องมีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายการศึกษาชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนจากกระทรวงต่าง ๆ เป็นกรรมการร่วม เพื่อดูกรอบนโยบายการศึกษาในภาพรวมทั้งหมด เพื่อให้เด็กไทยเป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข
ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า หัวใจหลักของ พ.ร.บ. การศึกษา ฉบับรวมไทยสร้างชาติ คือการศึกษาที่ตอบโจทย์ทุกภาคส่วน ทั้งผู้ประกอบการ พื้นที่ และที่สำคัญคือตัวผู้เรียนเอง ผ่านกระบวนการ “รื้อ ลด ปลด สร้าง”
ประเด็นแรก รื้อ กฎหมาย เพราะจำเป็นต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาโดยเน้นเฉพาะจุดที่สามารถแก้ไขร่วมกันได้ เนื่องจากกฎหมายการศึกษาฉบับปัจจุบันยังมีส่วนที่ดีและไม่ล้าสมัยในบางเรื่อง ดังนั้นการปรับปรุงจะมุ่งเน้นไปที่หลักการที่สามารถพัฒนาร่วมกัน เช่น การแก้ไขมาตรา 7 (8) และ (9) รวมถึงมาตรา 8 เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรและถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับนักเรียน
ประเด็นที่สอง ลด ภาระงานครูในการประเมินผลการปฏิบัติงาน เพื่อให้ใช้เวลากับสิ่งสำคัญคือการถ่ายทอดองค์ความรู้แก่นักเรียนนักศึกษา ไม่เน้นการทำงานรายงาน การทำวิจัย แต่เน้นประสิทธิภาพในการสอน ประเด็นที่สาม ปลด ล็อกการพัฒนาศักยภาพที่นอกเหนือจากด้านวิชาการของผู้เรียน เพราะเด็กทุกคนไม่ได้ต้องการเป็นนักวิชาการหรือครู แต่ต้องการพัฒนาในเส้นทางของตัวเอง และประเด็นสุดท้าย สร้าง ระบบการเรียนการสอนที่ตอบโจทย์ผู้เรียน ความต้องการของพื้นที่และภาคธุรกิจ โดยมีการแก้บางมาตราเพื่อให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมงานกันได้
“จากการสอบถามพบว่าคุณสมบัติที่ SMEs ต้องการคือความซื่อสัตย์ เพราะกลไกในองค์กรยังเป็นแบบครอบครัว และไม่มีระบบตรวจสอบมากนัก แต่ในส่วนของธุรกิจขนาดใหญ่ พบว่าผู้บริหารต้องการผลประกอบการที่ดีที่สุด เพราะมีระบบการทำงานที่น่าเชื่อถืออยู่แล้ว”
นอกจากนี้ ยังเสนอ การพัฒนาหลักสูตรตามบริบทพื้นที่ ที่มีจุดแข็งที่แตกต่างกัน เช่น การท่องเที่ยวหรือการเกษตร ส่วนหลักสูตรกลางควรเสริมเนื้อหาที่ช่วยเพิ่มศักยภาพให้ผู้เรียนสอดคล้องกับโอกาสในพื้นที่ เช่น เสริมความรู้ทางภาษาและการบริการในจังหวัดที่มีจุดเด่นในการท่องเที่ยว เพื่อให้นักเรียนสามารถทำงานหรือหารายได้เสริมได้เลย โดยเชื่อว่าหากหลักสูตรสามารถตอบสนองทั้งความต้องการของภาคธุรกิจและจุดแข็งของพื้นที่ ก็จะเป็นการตอบโจทย์ผู้เรียนไปพร้อมกัน ทำให้สามารถพัฒนาศักยภาพได้เต็มที่ และกลายเป็นบุคลากรที่มีคุณค่าต่อประเทศ
ปารมี ไวจงเจริญ พรรคประชาชน กล่าวว่า พ.ร.บ. ฉบับพรรคประชาชนเน้นตอบโจทย์ผู้เรียนใน 5 ด้านหลัก กล่าวคือ สิทธิและสวัสดิการด้านการศึกษา เพราะทุกคนมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการได้รับการศึกษาอย่างน้อยตั้งแต่แรกเกิดจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือเทียบเท่า โดยรัฐต้องจัดหรืออุดหนุนให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย และโดยไม่เลือกปฏิบัติด้วยเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ เพศ สถานะทางสังคม สถานะทางเศรษฐกิจ หรือความเชื่อทางศาสนา และสถานศึกษาของรัฐต้องไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียม ค่าบำรุงรักษาหรือค่าใช้จ่ายประเภทอื่นจากผู้เรียน
ส่วนอีก 4 ด้านคือ ครูและบุคลากรทางการศึกษา, หลักสูตร, โรงเรียนปลอดภัย มีระบบนิเวศที่ดี และสุดท้ายกระทรวงศึกษาธิการที่ตอบโจทย์ผู้เรียน
“จากการเปิดเวทีพบว่าบางท่านแสดงความคิดเห็นว่าร่าง พ.ร.บ. ของเราละเอียดไป แต่เนื่องจากบางประเด็นถ้าเขียนไม่ละเอียดอาจจะมีการบิดได้ จึงต้องลงรายละเอียดให้ชัดเจน เช่น การเรียนฟรีนั้นมีอะไรบ้าง”
ส่วนในเรื่องหลักสูตรจะมีการกำหนดกรอบ 3 กรอบ คือ กรอบหลักสูตรการศึกษา กรอบหลักสูตรพื้นที่ และหลักสูตรสถานศึกษา เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในแต่ละพื้นที่ แต่ละชั้นเรียน ปรับให้เหมาะสมกับผู้เรียน โดยต้องมีการมีส่วนร่วมของผู้เรียน และมีการ ทบทวนเพื่อปรับปรุงกรอบหลักสูตรการศึกษา ทุก 5 ปี โดยสิทธิผู้ปกครองและการศึกษาทางเลือกก็มีเขียนไว้ ซึ่งภาครัฐต้องสนับสนุนการศึกษาทางเลือกให้มากขึ้นด้วย
ณัฐิกา นิตยาพร ผู้อำนวยการกลุ่มนิติการ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ของรัฐบาลจะใช้ ฉบับที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ฉบับที่ 660/2564 ซึ่งประกอบด้วย 7 หมวด และ 110 มาตรา ถือว่าเป็นกฎหมายที่มีรายละเอียดค่อนข้างมาก ซึ่งปัญหาในปัจจุบันนี้ต้องใช้หลายศาสตร์วิชามาบูรณาการเพื่อแก้ไข ออกแบบแนวทางให้สอดคล้องกับความต้องการและความท้าทายของโลกปัจจุบัน
“คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาได้รับภารกิจตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ให้ดำเนินการปฏิรูปการศึกษา โดยนำโจทย์ความท้าทายต่างๆ มาพัฒนาเป็นร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ เมื่อพิจารณาถึงเป้าหมายของประเทศ เราต้องการให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน รวมถึงก้าวไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว”
นอกจากนี้ ยังต้องดูความสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในเรื่อง “คนที่มีสมรรถนะสูง”โดยมีการพัฒนาตามช่วงวัยในทุกช่วงวัย ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วย และการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยข้อมูลที่เป็นความจริงที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ โดยเป้าหมายการศึกษาตามรัฐธรรมนูญต้องการคนดี มีความสมดุลด้านวิชาการและการใช้ชีวิต รวมถึงมีความรู้ที่ลึกซึ้งและนำมาประยุกต์เพื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้อยู่ได้อย่างมีความสุข ภายใต้อัตลักษณ์ของความเป็นไทยเพื่อเพิ่มมูลค่าได้
หนึ่งในประเด็นสำคัญของ พ.ร.บ. ฉบับใหม่ คือ การยกระดับคุณภาพการศึกษาและลดความเหลื่อมล้ำ แม้ว่าปัจจุบันทุกคนจะสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ แต่คุณภาพของการศึกษายังคงมีความเหลื่อมล้ำสูง ทำให้เกิดปัญหาความไม่เท่าเทียมทางโอกาสทางการเรียนรู้ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข อีกประเด็นที่สำคัญคือ การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งอาจจะมีกลไกที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรทางการศึกษา ภายใต้หลักการสำคัญคือความยืดหยุ่น หลากหลาย และเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง เป็นหลักการของ พ.ร.บ. ฉบับใหม่ ภายใต้กรอบของคณะกรรมการอิสระ
ในเวทีเสวนาสาธารณะ ยังมีการนำเสนอประเด็นข้อกังวลว่า การพิจารณาร่างฯ จะล่าช้าหรือไม่ เพราะต้องพิจารณาทั้ง 5 ร่าง และแต่ละร่างก็มีเนื้อหาและจุดเน้นในสาระสำคัญที่แตกต่างกัน
สฤษดิ์ บุตรเนียร จากพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ก่อนที่จะเสนอร่าง พ.ร.บ. นี้ ได้มีการพูดคุยกันในส่วนของคณะกรรมาธิการการศึกษาของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว โดยเห็นว่าว่าหากแต่ละฝ่ายเสนอร่างแยกกัน อาจเกิดความขัดแย้งได้ จึงมีการพยายามพูดคุยร่วมกันก่อน เชื่อว่าถ้าเข้าสู่สภาแล้วน่าจะผ่านได้อย่างรวดเร็ว
ด้าน ดร.เทอดชาติ ชัยพงษ์ จากพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เมื่อเข้าสู่สภาแล้วจะมีกรรมาธิการวิสามัญร่วมที่จะถกเถียงประเด็นสำคัญ สภามีวาระ 4 ปี และขณะนี้ยังเหลือเวลาดำเนินการอีกกว่า 2 ปี หากสามารถนำร่างกฎหมายเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในสมัยนี้ได้ และตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณา ก็อาจมีโอกาสผลักดันต่อในสมัยหน้า อย่างไรก็ตาม มีความเห็นต่อคำชี้แจงของผู้แทนสภาการศึกษาที่นำเสนอร่างฯ ฉบับรัฐบาลว่า อาจต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ถ้าจะยึดร่างที่เคยถูกตีตกไปเมื่อปี 2566 ซึ่งมีหลายเรื่องยังเป็นประเด็นอยู่
ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า คนเราเพิ่งแต่งงานกัน คงไม่มีใครมานั่งคิดว่าจะหย่าวันไหนดี เพราะถ้าคิดแบบนั้น ชีวิตคงไปได้ยาก โดยตั้งแต่ที่คุยกันมายังแทบไม่เจอเรื่องที่ขัดแย้งกันจริง ๆ เลย เพียงแค่แต่ละพรรคการเมืองหรือแต่ละร่าง พ.ร.บ. มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน เพียงแต่มีความแตกต่างกันในแต่ละรายละเอียด ซึ่งจะพยายามเต็มที่ให้ร่างกฎหมายนี้ที่จะออกมาตอบโจทย์ทุกฝ่าย
ปารมี ไวจงเจริญ พรรคประชาชน กล่าวว่า เชื่อว่าโครงการนี้จะสามารถดำเนินการได้ทันเวลา เนื่องจากทุกพรรคการเมืองเห็นถึงความเร่งด่วนของวิกฤตการศึกษาในปัจจุบัน และ พ.ร.บ. การศึกษาจะเป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้
แต่เนื่องจากระบบการเมืองของไทยมีกระบวนการพิจารณากฎหมายที่กำหนดให้ ร่างกฎหมายฉบับของคณะรัฐมนตรีเป็นตัวนำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความรวดเร็วของกระบวนการนี้ จึงขอสอบถามตัวแทนสภาการศึกษาว่าอยู่ในขั้นตอนใด หาก ครม.สามารถอนุมัติร่าง และเข้าสู่การพิจารณาในสมัยประชุมสภาฯ ที่เหลืออยู่ก่อนปิดประชุมต้นเดือนเมษายน ก็ยังมีเวลาประมาณหนึ่งเดือนสำหรับการดำเนินการ
ณัฐิกา นิตยาพร ผู้อำนวยการกลุ่มนิติการ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจในการเสนอร่าง พ.ร.บ. แม้ว่าจะเคยถูกตีตกหรือสะดุดหลายครั้ง แต่ก็ยังคงเดินหน้าผลักดันให้เข้าสู่กระบวนการพิจารณา ซึ่ง ล่าสุดได้มีการเสนอร่างเข้าสู่กระบวนการแล้ว ขณะนี้ร่างดังกล่าว อยู่ในขั้นตอนของสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยมีการส่งเวียนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาและให้ความเห็น เจ้าหน้าที่กำลังสรุปข้อมูลหลังจากได้รับเอกสารที่เกี่ยวข้อง ส่วนตัวคาดว่าอาจมีความคืบหน้าในเดือนหน้า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการหารือและข้อตกลงของวิปรัฐบาล วิปฝ่ายค้าน และวิปอื่น ๆ ว่าจะให้ความสำคัญกับร่างฉบับนี้เพียงใด และจะกำหนดไทม์ไลน์อย่างไรเพื่อให้กระบวนการเดินหน้าได้อย่างราบรื่น โดยมีแนวโน้มสูงที่ร่างจะถูกส่งเข้าสู่การพิจารณาในสภาโดยตรง