“ถ้าลูกคุณไม่มั่นใจตัวเอง หวาดกลัวคนแปลกหน้า นี่คือ ข้อสังเกตหนึ่งที่อาจสะท้อนถึง การขาดความรัก ความอบอุ่น ในช่วง 0-2 ปีที่เขาเติบโตมา ” การเลี้ยงดูเด็กเล็กกลายเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทำให้ภาครัฐพยายามผลักดันให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้ามารับบทบาทช่วยพ่อแม่ผู้ปกครองดูแลและเสริมพัฒนาการให้ แต่การรับเด็กเล็กที่ยังดูแลตัวเองไม่ได้มาไว้ในการดูแล ก็มีโจทย์ท้าทายอยู่ไม่น้อย ?
หลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 ผ่านไป ปัญหาที่ซ่อนอยู่เงียบๆ ด้านพัฒนาการของเด็กก็ค่อยๆ ปะทุขึ้น และกลายเป็นรอยแผลสำหรับหลายๆ ครอบครัว กลุ่มที่ดูจะได้รับผลกระทบหนักสุด และเป็นกลุ่มแวดวงวิชาการด้านเด็กให้ความสำคัญ ก็คือ กลุ่มเด็กแรกเกิด - ก่อนวัยเรียน ที่ต้องปรับตัวเข้าสู่การศึกษาระดับอนุบาล เด็กหลายคนแสดงอาการไม่พร้อมทั้งทางร่างกาย ทักษะภาษา และการสื่อสาร
สิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองที่เผชิญปัญหา สะท้อนไว้อย่างน่ารับฟัง คือ ความไม่มั่นใจของลูกเมื่อเจอคนแปลกหน้า หลายคนไม่สบตาและถึงขั้นร้องไห้ การเก็บตัวอยู่ในบ้านเป็นเวลานานทำให้เด็กบางคนมีปัญหาพัฒนาการทางร่างกาย กล้ามเนื้อมัดใหญ่ไม่ได้พัฒนา เดินหรือวิ่งไม่สมบูรณ์ตามวัย หลายครอบครัวเจอกับภาวะเด็กติดจอ และมีปัญหาด้านการสื่อสาร
ข้อจำกัดอีกอย่าง ก็คือ ภาวะทางเศรษฐกิจที่บีบคั้น ทำให้พ่อแม่ไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้เอง จำเป็นต้องส่งลูกไปอยู่กับครอบครัวที่ต่างจังหวัด หรือ อาจจะฝากเลี้ยงกับคนที่ไว้ใจ หรือ สถานรับเลี้ยง ที่เราคุ้นชินว่า เนอร์สเซอรี่ หรือ เดย์แคร์
แม้การแพร่ระบาดใหญ่จะผ่านไปแล้ว แต่สถานการณ์ปัญหาเด็กเล็กก็ยังมีปัจจัยคุกคามอื่นที่ทำให้ภาครัฐพยายามผลักให้การดูแลและส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก 0-2 ปี มีความชัดเจนมากขึ้น และสอดคล้องไปกับเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย 2562 โดยจะเน้นให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งส่วนใหญ่ดูแล ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน (ศพด.) ที่มีเด็กอายุตั้งแต่ 2 ขวบขึ้นไป ขยายบทบาทการทำงานให้ครอบคลุมเด็กกลุ่มนี้
คำถาม คือ อปท. และสังคมไทยมีบุคลากรมากพอ และพร้อมรับมือกับเด็กเล็ก หรือยัง?
รศ.ดร.ชลาธิป สมาหิโต คณะศึกษาศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านปฐมวัย ยืนยัน บุคลากรในการดูแลเด็ก 0-2 ปี ไม่เพียงพอ แต่สำคัญกว่าจำนวน คือ การผลิตและพัฒนา “ผู้ดูแลเด็ก”ที่มีคุณภาพ ซึ่งจะต้องมีความรู้ความเข้าใจ และทักษะในการดูแลเด็กครอบคลุมทั้งด้านสุขภาพ โภชนาการ จิตใจ และการจัดประสบการณ์เรียนรู้ที่เหมาะสม ซึ่ง “ผู้ดูแลเด็ก” ที่มีอยู่ไม่ได้จบการศึกษาด้านปฐมวัยมาโดยตรง ขณะที่ หลักสูตรปฐมวัยส่วนใหญ่ที่จัดการเรียนการสอนกันอยู่ในมหาวิทยาลัย ก็มักจะเน้นไปที่ เด็กปฐมวัยที่เข้าเรียนในระดับอนุบาล ยังน้อยอยู่ ซึ่งลักษณะของผู้ดูแลเด็กแรกเกิดถึง 3 ปี จะต้องมีความรู้ความเข้าใจด้านพัฒนาการ ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่าง ต้องส่งเสริมให้เหมาะสมตามวัย
“ในทางวิชาการ เรียกว่า เป็นวัยหน้าต่างโอกาส เด็กแต่ละวัยมีโอกาสพัฒนาด้านต่างๆ ถ้าผู้ดูแล เข้าใจจะหาโอกาสส่งเสริมให้เหมาะสม”
คุณสมบัติที่สำคัญอีกประการ คือ ความรักความเมตตา ในวัยนี้เด็กจะรักพ่อแม่ ผู้ดูแล เป็นช่วงรอยต่อที่จะต้องก้าวสู่สังคมภายนอก ถ้าเด็กได้รับความรัก ความใกล้ชิด เด็กจะไว้ใจ ส่งผลให้ปรับตัวได้ง่าย แต่หากไม่ได้รับความรัก เด็กจะไม่ไว้ใจผู้อื่น ร้องไห้ เช่น เวลาที่ต้องเข้าไปอยู่สถานที่ใหม่ เมื่อต้องเรียนชั้นอนุบาล
ผู้ดูแลเด็ก ควรจะต้องมีความช่างสังเกต เพราะ มีโอกาสที่จะพบเจอเด็กที่มีความต้องการเป็นพิเศษมากขึ้นในยุคปัจจุบัน ผู้ดูแลจะต้องคอยสังเกตพฤติกรรมที่เด็กแสดงออกมา ตรงเกณฑ์ตามวัยหรือไม่ เพราะหากพบความผิดปกติ จะได้แนะนำให้พบแพทย์
นี่เป็นโจทย์ท้าทายและเร่งด่วนสำหรับมหาวิทยาลัยที่ต้องปรับปรุงหลักสูตร และแนวทางในการจัดการเรียนการสอนในการผลิตบัณฑิตที่มาทำหน้าที่เป็น “ผู้ดูแลเด็ก” และอาจต้องร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาศักยภาพ “ผู้ดูแลเด็กกลุ่มเดิม” ให้มีความสามารถในการรองรับภารกิจใหม่ได้มากขึ้น
ควบคู่ไปกับการทำงานเชิงรุกในกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครอง ซึ่ง “ผู้ดูแลเด็ก” จะต้องเพิ่มทักษะในการสื่อสารเพื่อการส่งต่อความรู้ความเข้าใจด้านพัฒนาการเด็กให้ไปในทิศทางเดียวกัน และต้องมีการพัฒนาความร่วมมือ ระหว่าง อปท.กับครอบครัว ชุมชน องค์กรศาสนา และบุคลากรด้านสาธารณสุข เพื่อทำให้การดูแล และส่งเสริมการเรียนรู้ เด็ก 0-2 ปี กลายเป็นภารกิจร่วมของสังคมไทยในการสร้างต้นทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพ
บทความโดย
พรวดี ลาทนาดี ศูนย์สื่อสาธารณะเพื่อเด็กและการเรียนรู้ ไทยพีบีเอส