“ทอยพอด” ที่กลับมาเป็นกระแสอีกครั้งในปีนี้ จุดประเด็นให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งอีกด้านหนึ่ง ก็คือ คุณแม่ลูกสอง เปิดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2568 ก่อนย้ำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กรมศุลกากร และกระทรวงการคลัง ดำเนินการจับกุมผู้นำเข้า พร้อมปิดกั้นช่องทางนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าทุกจุด และจับกุมผู้จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจังให้เห็นผลภายใน 30 วัน
นับสิบปีมาแล้วที่ประเทศไทยมีกฎหมายควบคุมการนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า แต่สถิติการจับกุมรายวัน ทำให้ยังคงมีข้อสังเกตถึงการบังคับใช้กฎหมาย ว่า มีปัญหาหรือไม่?
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกำลังทำให้การเข้าถึง การซื้อขายง่ายกว่าเดิม การปราบปรามจึงถูกมองโดยนักวิชาการบางคนว่า นี่คือ เกมแมวไล่จับหนู รัฐบาลไทยควรทำอย่างไรเพื่อปิดกั้น “บุหรี่ไฟฟ้า” ไม่ให้รุกคืบสู่เยาวชนไปมากกว่านี้ ?
“ยุคนี้พ่อแม่ต้องหูตาไว อะไรที่ดูเหมือนของเล่นเสียบสายชาร์จ type- C ได้ ขอให้สงสัยไว้ก่อนว่า นั่นอาจเป็น พอด” นี่คือ ข้อความที่ฝากถึงพ่อ-แม่ผู้ปกครองของ ผศ.ดร.ศรีรัช ลาภใหญ่ ผู้จัดการโครงการ Product watch ติดตามเฝ้าระวังและจัดการความรู้ผลิตภัณฑ์อันตรายต่อสุขภาพที่ติดตามสถานการณ์การระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งล่าสุด พบผู้ใช้งานเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษา อายุน้อยกว่า 10 ปี
มองจากมุมการตลาด ทำไม สินค้าผิดกฎหมายตัวนี้ต้องการเจาะกลุ่มเด็กนักเรียน ทั้งที่พวกเขาไม่มีกำลังซื้อ ??? อ.ศรีรัช ระบุว่า นี่คือ กลยุทธ์การตลาดล่าเหยื่อ หรือ Predatory marketing ที่โครงข่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าใช้ในการล่านักสูบหน้าใหม่ โดยหวังผลในระยะยาวให้กลายเป็นผู้ใช้ที่ซื่อสัตย์
เด็กประถมศึกษาและมัธยมศึกษามีความเปราะบาง ด้วยวัย วุฒิภาวะที่อาจไม่เท่าทันกับกลยุทธ์ต่างๆ ในการส่งเสริมการขายที่ถูกสร้างและทำงาน อยู่ภายใต้เกมการล่าเหยื่อนักสูบหน้าใหม่ ซึ่ง อ.ศรีรัช ชวนให้มองผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก คือ
กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ หน้าตาของพอดในยุคนี้ถูกพัฒนาให้ดูเป็นมิตร น่ารักสดใส หรือน่าสนใจ ส่วนใหญ่จะเป็นลวดลายการ์ตูนชื่อดัง “พอด”มีหน้าตาไม่ต่างอะไรกับของเล่น (TOYPOD) ที่มีรูปลักษณ์ที่ต่างไปจากบุหรี่ไฟฟ้าแบบเดิมที่เป็นแทงก์ หรือกระทั่งบุหรี่มวน จึงไม่ยากที่จะดึงดูดความสนใจของเด็กนักเรียน
กลยุทธ์ด้านราคา ปี 2567 ราคาพอดอยู่ที่ราว 200-300 บาท ปีนี้ ราคาลดเหลือ 99 บาท บางรุ่นขยับขึ้นมาที่ 159 บาท ถ้าไม่มีเงินพอ สามารถผ่อนจ่ายแบบปลอดดอกเบี้ยผ่านโซเชียลมีเดีย โดยไม่มีการล็อกเงินขั้นต่ำ มีเท่าไหร่ก็จ่ายเท่านั้น จ่ายครบก็ส่งมอบสินค้าให้
กลยุทธ์ด้านการเข้าถึง พบว่า บรรดาผู้ค้ามักใช้ช่องทาง Online ในการโฆษณาขายสินค้า มีคนรีวิวผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์ และบริการขนส่งให้ถึงบ้าน ส่วนกลุ่มที่มีหน้าร้านก็มักซุกซ่อนอยู่ในชุมชน วางขายตามตลาดนัด โดยมีตัวอักษรหรือสัญลักษณ์บางอย่างที่เป็นที่รู้กันว่า ที่นี่ เป็นที่ปล่อยของ
กลยุทธ์ด้านการโฆษณา พยายามที่จะอ้างสรรพคุณว่า มีความปลอดภัย อันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวน
กว่า 2 สัปดาห์ หลังรัฐบาลประกาศเดินหน้าปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาด โดยนายกรัฐมนตรีมอบหมาย นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้รับผิดชอบหลัก ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขจัดข้อจำกัดระหว่างดำเนินการปราบปราม ตัวเลขล่าสุด (14 มีนาคม 2568) ที่เปิดเผยผ่านโซเชียลมีเดีย พบว่า มีการดำเนินคดี 1,078 คดี , ผู้ต้องหา 1,104 คน , จำนวนของกลาง 900,444 ชิ้น มูลค่าของกลาง 118,953,915 บาท
แต่ในมุมมองของนักวิชาการที่ติดตามกลยุทธ์ในการส่งเสริมการขายของบุหรี่ไฟฟ้า มองว่า การไล่ปราบไล่จับอย่างเดียวไม่น่าพอ แต่ต้องใช้มาตรการอื่นๆ มาเสริม เช่น การเจรจา โดยเปรียบเทียบกับบทเรียนของประเทศสิงคโปร์ที่มีมาตรการทางกฎหมายในการจัดการกับบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มข้นจริงจัง แต่ยังพบการแพร่ระบาดในกลุ่มนักเรียนนักศึกษา รัฐบาลสิงคโปร์ ประเมินว่า ถ้าจะสกัดกั้นการส่งเสริมการตลาดของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนที่เผยแพร่อยู่ในสื่อสังคมออนไลน์ ก็ต้อง เปิดเจรจากับผู้ให้บริการแพล็ตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ด้วย
โดยกระทรวงสาธารณสุข และ HSA สิงคโปร์ ได้ออกจดหมายแจ้งเตือนไปยังผู้ให้บริการโซเชียลมีเดียมีเดีย และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ 16 แห่ง เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2567 ว่าพบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมโฆษณาและการขายยาสูบสิง
ซึ่งในปี 2566 มีรายการที่เกี่ยวข้องกับเครื่องพ่นไอระเหยไฟฟ้ามากกว่า 3,000 รายการถูกลบออก ตัวเลขดังกล่าว เพิ่มขึ้นอย่างมาก จากปีก่อนหน้า ซึ่งมีรายการถูกลบออกจำนวน 2,600 รายการ
ซึ่งนอกจาก การบังคับให้แพลตฟอร์มต้องรับผิดชอบ สิงคโปร์ยังแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่า จะดำเนินการบังคับใช้มาตรการกับแพลตฟอร์มที่ไม่มีกระบวนการที่เพียงพอในการตรวจจับและลบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า
ล่าสุด สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า สิงคโปร์ได้เพิ่มมาตรการในการกระตุ้นให้ผู้ปกครองตระหนักและแสดงความกังวลต่อปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงเปิดช่องทางในการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนให้เลิกบุหรี่ แทนการดำเนินการทางกฎหมาย
การงัดมาตรการต่างๆ มาต่อกรกับบุหรี่ไฟฟ้าของรัฐบาลสิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่รัฐบาลไทยที่เพิ่งตื่นตัวกับปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าควรเรียนรู้ และต้องเห็นว่า “เด็กนักเรียน” คือ กลุ่มเป้าหมายสำคัญของเกมการล่าเหยื่อนักสูบหน้าใหม่
บทความโดย
พรวดี ลาทนาดี ศูนย์สื่อสาธารณะเพื่อเด็กและการเรียนรู้ ไทยพีบีเอส